คุณรู้หรือไม่!! ว่าพระพุทธเจ้าสอนให้เห็นคุณค่าของ“ความรวย”
.
จากบทความก่อนๆที่ผมได้ชี้ให้เห็นแล้วว่าพอเพียงไม่ได้สอนให้จน แต่ความลำบากและความจนนั่นละคือสาเหตุของความไม่พอเพียง ซึ่งจะต้องเติมเต็มให้พอให้ได้ แล้วนั่นละจึงเป็นความพอเพียงอย่างแท้จริง ขอทวนสักหน่อย
.
กระบวนการ(Process) ของ”พอเพียง”
.
“เมื่อไม่พอ >>
ต้องพยายามเติมให้จนเพียงพอ >>
เมื่อพอแล้ว ต้องไม่เกินตัวจนเดือดร้อน >>
ขจัดความเกินตัวด้วยการเรียนรู้พัฒนา>>
เมื่อเรียนรู้จนเติมเต็ม >>
ก็ลงมือทำให้มากจนกว่าจะพอเพียง”
.
จะเห็นว่านี่คือวัฏจักรหลักการพัฒนาชีวิตแบบไม่มีที่สิ้นสุด เปรียบเหมือนกับวงจรแห่งคุณภาพ
.
PDCA (วงจรคุณภาพ) ซึ่งทฤษฎีนี้คือการปรับปรุงพัฒนาอย่างไม่มีที่สิ้นสุด เป็นระบบเดียวกับพอเพียง
.
1) P= Plan คือ การวางแผน หมายถึงการใช้ชีวิตตามแบบแผนและมีเป้าหมายที่ชัดเจน
.
2) D= DO คือ การปฏิบัติตามแผน เพื่อให้ชีวิตไปถึงเป้าหมาย
.
3) C= Check คือ การตรวจสอบว่าการปฏิบัติเป็นไปตามแผนที่วางไว้หรือไม่ และต้องพัฒนาเรื่องอะไร และมีอะไรให้ต้องแก้ไข
.
4) A= Act คือ การพัฒนาและปรับปรุงแก้ไขเพื่อ ยกระดับให้สูงยิ่งๆขึ้นไป
.
และ จาก Act ก็วนไปใหม่ที่ Plan ทำเป็น วัฏจักรแบบนี้เรื่อยๆชีวิตคุณก็จะก้าวหน้าแบบไม่มีที่สิ้นสุดอย่างยั่งยืน
.
ฉะนั้น “พอเพียง” ต้องอัพเกรดพัฒนาตัวเองทำให้คู่ควรกับเป้าหมายที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆตามความเปลี่ยนแปลงของโลกและสังคม
.
“ถ้าขาดต้องเติม ถ้าเกินต้องหยุด ถ้าหยุดต้องพัฒนา
ถ้าพัฒนาแล้ว ก็ลุยต่อจนกว่าจะพอเพียง”
.
ซึ่งใครอยากเรียนรู้เรื่องนี้ ในการประยุกต์ใช้เป็นเข็มทิศให้ชีวิตและธุรกิจ ผมมีบทความเรื่อง “ศาสตร์พระราชา” ที่ผมได้ออกแบบประยุกต์ใช้สำหรับโมเดลชีวิต(Life Model) และโมเดลธุรกิจ(Business Model) ซึ่งสามารถหาในเพจนี้ได้เลย เพราะผมต้องการให้คนไทยสามารถน้อมนำศาสตร์พระราชาไปพัฒนาชีวิตและธุรกิจได้อย่างแท้จริง ตามเป้าประสงค์ของพระองค์ที่ต้องการให้คนไทยสามารถอุ้มชูตัวเองได้อย่างยั่งยืน
.
แต่ผมเชื่อว่าอาจจะมีคนบางคนที่ยังคิดว่า”ทำไมต้องอยากรวย” ความรวยมันเป็นบาป การพูดถึงเงินคือเรื่องน่ารังเกียจ เราเป็นเมืองพุทธเรื่องเงินทองเป็นเรื่องของความโลภ อย่าไปยึดติด
.
ผมจึงจะขอชี้ทางสว่างให้คนคิดแบบนี้ได้ตื่นรู้ในบทความนี้
.
ก่อนเข้าเรื่องคำสอนของพระพุทธเจ้า ผมอยากให้คุณคิดตามว่าเงินเป็นเพียงของนอกกาย ไม่ได้สำคัญกับชีวิตจริงๆเหรอ
.
.
มีคนบอกว่า”ตายแล้วเอาเงินไปไม่ได้” ใช่มันคือเรื่องจริง!! แต่อย่าลืม เมื่อตายไป เงินก็ยังสามารถสร้างความมั่นคงให้บุตรหลาน และคนข้างหลังสืบทอดต่อไปได้ คนที่คิดแบบนี้แสดงว่าเป็นคนนึกถึงแต่ตนเองไม่ได้นึกถึงคนข้างหลังเลย เท่ากับว่าเป็นคนที่เห็นแก่ตัวชัดๆ!!
.
มีคนบอกว่า “เงินซื้อความรักไม่ได้” ใช่เรื่องจริง!! แต่อย่าลืม เงินมันสามารถซื้อปัจจัยที่ก่อให้เกิดความรักได้มากกว่าคนไม่มีเงินได้มหาศาล ยอมรับเถอะว่าดีแต่จนหาคู่ได้ยากกว่า ดีแล้วแถมยังรวย หรือเลวแถมจน กับเลวแต่รวย คุณจะยอมทนอยู่กับใครมากกว่ากัน ตอบ!! อันนี้คือหลักของเหตุและผลที่ชัดเจน อย่าไปคิดแบบโลกสวยมัววิ่งฟรุ้งฟริ้งในทุ่งลาเวนเดอร์อยู่เลย เพราะมันขัดแย้งกับกฏแห่งธรรมชาติของมนุษย์ !!
.
มีคนบอกว่า “เงินซื้อเวลาไม่ได้” ใช่เรื่องจริง!! แต่อย่าลืมว่าเงินช่วยให้เราประหยัดเวลาลงได้ เพราะถึงแม้เวลาของเราจะไม่สามารถเพิ่มได้ แต่การใช้เงินซื้อความสะดวกและย่นเวลาได้ ก็สามารถได้ใช้เวลาทำอย่างอื่นที่เราอยากทำได้มากขึ้นอย่างชัดเจน!!
.
มีคนบอกว่า “เงินซื้อชีวิตไม่ได้” ใช่เรื่องจริง!! แต่ถึงแม้ซื้อชีวิตไม่ได้ แต่ก็ช่วยยื้อชีวิตไว้ได้มากกว่าคนไม่มีเงิน เพราะเงินสามารถซื้อปัจจัยภายนอกที่ก่อให้เกิดคุณภาพชีวิตที่ดีกว่าคนไม่มีเงินได้ และเมื่อเจ็บป่วยคุณภาพในการรักษาย่อมดีกว่าคนไม่มีเงิน คนมีเงินจึงมีโอกาสรอดกว่าคนไม่มีเงินเสมอ
.
มีคนบอกว่า”เงินซื้อมิตรแท้ไม่ได้” ใช่เรื่องจริง!! แต่อย่าลืมว่าการมีเงินมันสามารถช่วยสร้างคอนเนคชั่นและโอกาสให้เราได้เจอเพื่อนที่ดีและกลุ่มสังคมดีๆ ได้มากกว่าคนไม่มีเงินเสมอ แม้อาจไม่ใช่มิตรแท้ และต่างใส่หน้ากากเข้าหากันก็จริง แต่หากเป็นมิตรที่ช่วยต่อยอดทางธุรกิจให้เราได้ ก็ถือว่าWin-Win
.
มีคนบอกว่า”เงินไม่สามารถซื้อการนอนหลับได้” ใช่เรื่องจริง!! แต่ลองคิดดู ตอนคุณไม่มีเงิน มันทำให้คุณข่มตาหลับได้ยากแค่ไหน ต่อให้นอนนับแกะเป็นหมื่นก็ยากจะหลับลงได้ เพราะมัวเป็นทุกข์กับเรื่องไม่มีเงิน
.
จริงแท้แน่นอนว่าเงินซื้อทุกอย่างไม่ได้ แต่ก็ต้องยอมรับว่าคนมีเงินมักมีโอกาสดีๆกว่าคนไม่มีเงินเสมอ นี่คือกฏแห่งความสมเหตุสมผล
.
สรุป!! คุณจะเห็นว่าเงินแม้ไม่ใช่ทุกอย่างของชีวิต แต่ทุกสิ่งทุกอย่างของชีวิตล้วนมีเงินมาเกี่ยวข้องพัวพันแทบทั้งสิ้น
.
.
คราวนี้มาตอกย้ำความสำคัญของเงินด้วยคำสอนพระพุทธเจ้ากัน
.
พระพุทธองค์ทรงตรัสไว้ว่า การทำตนให้บรรลุมี2ทางคือ
.
๑) การปฏิบัติเพื่อให้บรรลุทางโลก = ประสบความสำเร็จในชีวิต ทั้งหน้าที่การงาน ครอบครัว และโภคทรัพย์
.
๒) การปฏิบัติเพื่อให้บรรลุทางธรรม = จุดสูงสุดแห่งพระพุทธศาสนา มรรคผลนิพพาน
.
ซึ่งพระพุทธองค์ตรัสไว้ว่าอย่างน้อยควรสำเร็จสัก1ทาง พระพุทธองค์จึง ชี้ให้เห็นว่าการบรรลุทางโลกได้ ต้องพยายามนำตนให้พ้นจากความยากลำบากให้ได้ เพราะหากสามารถบรรลุทางโลกได้ ก็จะมีจิตแน่วแน่ต่อการบรรลุทางธรรมได้ต่อไป เพราะหากไม่สามารถบรรลุทางโลกได้จิตก็ไม่สามารถหลุดพ้นจากความวิตกกังวลเรื่องเงิน เรื่องความเป็นอยู่ของครอบครัว ทำให้ยากนักที่จะบรรลุทางธรรม
.
พระพุทธองค์จึงทรงตำหนิความยากจนไว้ในพระไตรปิฎก เล่มที่ ๒๒ “อิณสูตร”
.
โดยพระองค์ตรัสไว้ว่า หนึ่งในความยากลำบากที่น่ากลัวที่สุดในการดำเนินชีวิตของคนคือ ความยากจน ความยากจนเป็นความลำบากทั้งกายและใจอย่างแสนสาหัสที่เกิดจากการไม่มีทรัพย์ ต่างก็ต้องทนทุกข์เพื่อให้มีชีวิตที่หลุดพ้นจากความจน เพื่อให้สามารถเลี้ยงดูตนและครอบครัวให้ผ่านพ้นไปได้
.
ด้วยเหตุนี้ พระพุทธองค์จึงไม่ทรงปรารถนาให้ใครเกิดมาเป็นคนยากจนพระองค์ทรงต้องการให้มนุษย์รื้อผังความจนออกไปจากชีวิตให้หมดสิ้น และทรงชี้โทษของความจนไว้ต่าง ๆ นานา รวมทั้งทรงพรรณนาถึงคุณของการแก้ปัญหาความจนอย่างถูกหลักวิชาไว้มากมาย ซึ่งหากกล่าวโดยย่อมี ๓ ประการดังนี้
.
๑. #พระพุทธองค์ทรงตำหนิความยากจนไว้ใน “#อิณสูตร”
.
ในเรื่องการสร้างตัวสร้างฐานะ พระพุทธองค์ไม่ทรงห้ามชาวพุทธรวย แต่การรวยต้องรวยอย่างสุจริต ในทางตรงข้าม พระองค์ทรงห้ามยอมแพ้ต่อความยากจน โดยถึงกับทรงแจกแจงความทุกข์ของคนจนอย่างหมดเปลือก เพื่อให้เห็นโทษภัยของความยากจน จะได้สร้างตัวสร้างฐานะโดยไม่เกียจคร้าน ส่วนผู้ที่ตั้งหลักฐานได้แล้วจะได้ไม่ประมาท ดังปรากฏอยู่ในอิณสูตร ซึ่งพระพุทธองค์ทรงกล่าวถึงความจนไว้ว่า
.
“ความเป็นคนจนเป็นทุกข์ของบุคคลผู้บริโภคกามในโลก” และทรงอธิบายไว้ดังนี้
.
๑) ความจนเป็นทุกข์ของคนในโลกที่ยังครองเรือนอยู่
.
๒) คนจนเข็ญใจยากไร้ย่อมกู้หนี้ แม้การกู้หนี้ก็เป็นทุกข์ในโลก
.
๓) ครั้นกู้หนี้แล้วก็ย่อมต้องใช้ดอกเบี้ยแม้การต้องใช้ดอกเบี้ยก็เป็นทุกข์ในโลก
.
๔) คนจนเข็ญใจยากไร้ครั้นใช้ดอกเบี้ยแล้ว ไม่ให้ดอกเบี้ยตามกำหนดเวลา พวกเจ้าหนี้ย่อมตามทวงเขา แม้การถูกตามทวงหนี้ ก็เป็นทุกข์ในโลก
.
๕) คนจนเข็ญใจยากไร้ เมื่อถูกเจ้าหนี้ทวงแล้วยังไม่มีให้ พวกเจ้าหนี้ก็เลยติดตามแม้การถูกติดตามก็เป็นทุกข์ในโลก
.
๖) คนจนเข็ญใจยากไร้ถูกเจ้าหนี้ติดตามทัน ยังไม่ทันจะให้ พวกเจ้าหน้าที่ก็จับเขามาจองจำเสียแล้ว แม้การถูกจองจำก็เป็นทุกข์ในโลก
.
การที่พระองค์ทรงกล่าวเช่นนี้ เพราะต้องการเตือนสติให้ชาวพุทธทั้งหลาย “ไม่ประมาท” ในการดำเนินชีวิต คือ
.
๑) ให้กลัวความยากจน
๒) ให้ตั้งใจกำจัดความยากจนอย่างถูกวิธี
๓) ให้ป้องกันความยากจนข้ามภพข้ามชาติ
.
เพราะฉะนั้น เมื่อชาวพุทธมีสติระลึกนึกถึงอันตรายของความยากจนอย่างนี้แล้ว จะได้ไม่ประมาท ใครก็ตามที่ดำเนินตามหลักวิชานี้ ย่อมได้หลักประกันว่า นับแต่นี้ไป ตราบใดยังต้องเวียนว่ายตายเกิด ถือกำเนิดในวัฏสงสาร แม้ยังไม่อาจกำจัดกิเลส จนกระทั่งบรรลุธรรมเข้าพระนิพพาน แต่ก็จะไม่ตกระกำลำบาก ไม่ต้องพบกับความยากจนอีกต่อไปอย่างแน่นอน
.
.
๒. #พระพุทธองค์ทรงชี้ให้เห็นว่าความยากจน #บีบคั้นให้มนุษย์ทำความชั่วได้ง่าย
.
ชีวิตอยู่ได้ด้วยการใช้ปัจจัย ๔ หล่อเลี้ยง แต่เพราะความยากจนจึงทำให้มีชีวิตลำเค็ญเกิดความขัดสนในการแสวงหาปัจจัย ๔ความหิวและความกลัวตายจึงบีบคั้นให้จิตใจตกอยู่ในอำนาจความชั่วได้ง่าย เป็นเหตุให้แสวงหาทรัพย์โดยไม่คำนึงถึงความผิดชอบชั่วดี แม้ต้องปล้น จี้ ฆ่า ลักขโมย ขายตัวต้มตุ๋น หลอกลวง ค้าของผิดกฎหมาย ค้ายาเสพติดหรืออื่น ๆ เพื่อให้ได้ทรัพย์มา ก็ทำได้โดยไม่รู้สึกละอาย ผลสุดท้ายกลายเป็นคนมีนิสัยใจบาปหยาบช้า เพราะทนการบีบคั้นจากความยากจนไม่ไหว
.
.
๓. #พระพุทธองค์ทรงชี้ให้เห็นว่า #ความรวยเป็นคุณูปการให้สร้างบุญได้ง่าย
.
ความรวยแบ่งเป็น ๒ ประเภท คือ
๑) ความรวยทางโลก เรียกว่า “โลกิยทรัพย์” คือ การมีทรัพย์สิน เงินทอง สมบัติพัสถานมากมาย และมีความสามารถใช้จ่ายทรัพย์นั้นได้อย่างมีความสุข
.
๒) ความรวยทางธรรม เรียกว่า “อริยทรัพย์” มี ๗ ประการ ได้แก่ ศรัทธา ศีล หิริ โอตตัปปะ สุตะ จาคะ ปัญญา
.
ความรวยจึงมิใช่สิ่งเลวร้ายแต่อย่างใดแต่เป็นความสุข ความปลื้มใจ เป็นลาภอันประเสริฐ ผู้ที่ปรารถนาความรวยสมควรที่จะวางเป้าหมายไว้ที่การแสวงหาทั้งโลกิยทรัพย์และอริยทรัพย์มาไว้เป็นของตน
.
ในทางพุทธศาสนาสอนไว้ว่า ความรวยหรือทรัพย์ที่ตนเองมีนั้น มีไว้เพื่อประโยชน์ในส่วนต่าง ๆ เรียกว่า โภคอาทิยะ๕ คือ
.
เมื่อมีทรัพย์สิน บุคคลควรนำมาใช้ประโยชน์ต่อการดำเนินชีวิต ประกอบด้วย
๑.การใช้จ่ายทรัพย์นั้นเลี้ยงตนเอง เลี้ยงดูครอบครัว มารดาบิดา ให้มีความสุข
.
๒.การใช้ทรัพย์ที่หามาได้นั้นเพื่อบำรุงเลี้ยงมิตรสหายผู้ร่วมกิจการงานให้เป็นสุข
.
๓.การใช้ทรัพย์เพื่อป้องกันภยันตรายต่างๆ
.
๔.การสละทรัพย์เพื่อการบำรุงสงเคราะห์ ๕ อย่าง ได้แก่
.
-อติถิพลี ใช้ต้อนรับแขก คนที่ไปมาหาสู่
-ญาติพลี ใช้สงเคราะห์ญาติ
-ราชพลี ใช้บำรุงราชการด้วยการเสียภาษีอากร เป็นต้น
-เทวตาพลี คือใช้สงเคราะห์ตามขนบธรรมเนียมของสังคม
-ปุพพเปตพลี ทำบุญอุทิศให้แก่บุพการีที่ล่วงลับไปแล้ว
.
๕.บำรุงสมณพราหมณ์ คือ พระสงฆ์ผู้ประพฤติดี ปฏิบัติชอบ ผู้ที่ดำรงธรรมไว้ให้แก่สังคม
.
ดังนั้น กล่าวโดยสรุปแล้ว พระพุทธศาสนาไม่ได้สอนให้คนจน แต่สอนให้คนรู้จักตั้งตนตั้งฐานะให้รวยอย่างสุจริต อันเป็นการทำประโยชน์ในชาตินี้ให้สมบูรณ์
.
.
ซึ่งวิธีแก้ความยากจนก็คือใช้แนวคิดของอริยสัจ๔มาแก้ไข
.
อริยสัจ4 ประกอบด้วย
.
๑. ทุกข์ คือ ความทุกข์ เป็นสิ่งที่ไม่พึงปรารถนา
.
ต้องรู้ตนว่า ปัญหาคืออะไร? (Problem?)
.
เช่น ปัญหาคือ ชีวิตยังลำบาก ยังเหนื่อย
.
๒. สมุทัย คือ มูลเหตุหรือต้นเหตุแห่งทุกข์
.
อะไรคือสาเหตุแห่งปัญหานั้น? (Insight ?)
.
เช่น มาจากเงินเดือนที่น้อยเกินไป มาจากหนี้สิน เป็นต้น
.
๓. นิโรธ คือ สิ่งที่ใช้ดับทุกข์ (Solution)
.
เลือกวิธีแก้ปัญหาที่ดีที่สุด
.
เช่น สร้างธุรกิจของตนที่มีรายได้สูงกว่าเงินเดือนปัจจุบัน หรือพัฒนาตัวเองให้มีคุณภาพจนสามารถหางานในตำแหน่งที่สูงยิ่งๆขึ้นไปได้
.
๔. มรรค คือ แนวทางแห่งการดับทุกข์
.
หากระบวนการและวิธีการแก้ปัญหา (How To)
.
เช่น ไขว่คว้าหาอาชีพที่ใช่สำหรับตน ที่สามารถตอบโจทย์ให้คุณหลุดพ้นจากความลำบากได้ เมื่อคุณเจออาชีพที่ใช่แล้ว ต่อมาให้มาดูว่า คุณต้องทำอะไรบ้าง นั้นคือสกิลด้านอาชีพ ต้องมีความรู้เสริมด้านใด กระบวนการขั้นตอนอย่างไร วางแผนลงมือปฏิบัติอย่างไร เมื่อค้นเจอจนครบกระบวนการ ก็ลงมือทำตามแผน เพื่อไปสู่หนทางการดับทุกข์ให้จงได้
.
อันนี้เป็นตัวอย่างแบบคร่าวๆ ซึ่งผมมีเขียนเรื่องอริยสัจ๔ไว้ในฉบับเต็ม ซึ่งสามารถค้นหาดูได้จากเพจนี้ได้เลย
.
นอกจากหนทางการดับความทุกข์ด้วยอริยสัจ๔แล้ว พระพุทธองค์ยังทรงมอบอีก1วิธี ที่จะทำให้พ้นจากความยากจนได้คือ
.
ทิฏฐธัมมิกัตถประโยชน์ คือ ประโยชน์ในปัจจุบัน ๔ อย่าง บ้างเรียกว่า หัวใจเศรษฐี “อุ อา กะ สะ” อันมี๔ อย่างดังนี้
.
๑) อุฏฐานสัมปทา (อุ) “ต้องขยันหาทรัพย์” ถึงพร้อมด้วยความหมั่น เช่นขยันหมั่นเพียร เลี้ยงชีพด้วยการหมั่นประกอบการงาน เป็นผู้ขยันไม่เกียจคร้านในการงานนั้น ประกอบด้วยปัญญาเป็นเครื่องสอดส่อง ให้สามารถทำได้สำเร็จ
.
จะเห็นว่า จากการขยายความของพระองค์ การขยันหมั่นเพียรอย่างเดียวไม่สามารถทำให้สำเร็จได้ แต่ต้องมีปัญญามาสอดส่องด้วยว่า ความเพียรกับสิ่งนั้นสามารถทำให้มั่งคั่งได้จริงหรือ เพราะถ้าไม่จริงก็หมายถึง ขยันผิดที่อีก10ปีก็ไม่รวย ฉะนั้นจึงไม่แปลกเลยถ้าวันนี้คุณบอกว่าคุณขยันทำงานจนสุดชีวิตทำไมไม่สำเร็จสักที นั่นเป็นเพราะว่าคุณกำลังขยันผิดที่ผิดทางนั่นเอง
.
๒) อารักขสัมปทา (อา) “ต้องขยันเก็บทรัพย์สิน” ถึงพร้อมด้วยการรักษาโภคทรัพย์ รู้จักเก็บหอมรอมริบ และสามารถเก็บรักษาคุ้มครองโภคทรัพย์เหล่านั้นไว้ได้พร้อมมูล ไม่ให้ถูกลัก หรือทำลายไปโดยภัยต่างๆ
.
หมายถึง ต้องรู้จักเก็บรักษาปกป้องทรัพย์ไม่ให้สูญหาย อาจด้วยการทำหลักประกัน ซื้อกล้องวงจรปิดมาติด ระวังการถูกหลอกลวง จากมิจฉาชีพ แก๊งต้มตุ๋นและโจรขโมยต่างๆ
.
๓) กัลยาณมิตตตา (กะ) “ต้องเลือกคบเพื่อนที่ดี” คบคนดีที่ทำให้ก้าวหน้า ไม่คบคนชั่ว
.
คือคบเพื่อนที่ช่วยส่งเสริมให้ชีวิตดีขึ้น ไม่ใช่เพื่อนที่ฉุดรั้งให้ต่ำลง นั้นคือการสร้าง Connection มีเพื่อนที่สามารถช่วยแนะนำ เพื่อต่อยอดทางธุรกิจให้กับคุณได้ หรือเพื่อนที่คอยช่วยตักเตือนคุณยามคุณทำผิด
.
๔) สมชีวิตา (สะ) “ต้องเลือกใช้อย่างคุ้มค่า” อยู่อย่างพอประมาณ รู้ทางเจริญทรัพย์และทางเสื่อมแห่งโภคทรัพย์ แล้วเลี้ยงชีพพอเหมาะ ไม่ให้สุรุ่ยสุร่ายฟุ่มเฟือยนัก ไม่ให้ฝืดเคืองนัก ด้วยคิดว่า รายได้จะต้องเหนือรายจ่าย และรายจ่ายจะต้องไม่เหนือรายได้
.
.
และนี่คือหัวใจเศรษฐี จะเห็นว่าต่อให้คุณมีคาถามหาเศรษฐีสวดอยู่ทุกค่ำคืน ก็ไร้ซึ่งประโยชน์ ต่อให้คุณสวดไปจนตายก็ไม่มีทางที่จะทำให้คุณรวยขึ้นมาได้ จนกว่าคุณจะลุกขึ้นมาลงมือทำอย่างหมั่นเพียรด้วยปัญญา นั่นละโอกาสการเป็น”เศรษฐี”จึงพร้อมเปิดทางให้กับคุณ
.
ณวันนี้ ศาสนากำลังถูกบิดเบือน กลายเป็นค่านิยมแบบผิดๆ ผู้คนส่วนใหญ่เข้าวัดทำบุญเพื่อหวังบุญกุศลหนุนให้รวย เข้าวัดแล้วคิดว่าทำให้โชคดีล้างซวยได้ ซึ่งผิดจากคำสอนของพระองค์ที่สอนให้คนเกิดปัญญา
.
ซึ่งความศรัทธาจะต้องมีปัญญามาสแกนด้วยเสมอ จึงเป็นศรัทธาที่บริสุทธ์ แต่หากศรัทธาโดยขาดปัญญาขาดเหตุและผลประกอบเรียกว่า”ความงมงาย”
.
โดยผู้คนส่วนใหญ่มองข้ามแก่นหลักของคำสอนกันไปหมด การไหว้พระขอพรไม่ก่อให้เกิดความร่ำรวยได้ แต่หากอยากจะรวย ก็ให้ทำตามคำสอนของพระองค์ด้วยหลักของเหตุและผล นั่นคือหากอยากสำเร็จ ต้องสร้างกระบวนการสู่ความสำเร็จขึ้นมา
.
เพราะทุกสิ่งต้องมีที่มาที่ไปเสมอ นั่นคือ
.
เมื่อสิ่งนี้มี สิ่งนี้จึงมี
เพราะสิ่งนี้เกิดขึ้น สิ่งนี้จึงเกิดขึ้น
เมื่อสิ่งนี้ไม่มี สิ่งนี้ก็ไม่มี
เพราะสิ่งนี้ดับไป สิ่งนี้ก็ดับ
.
นี่คือสิ่งที่เรียกว่า”กฏแห่งธรรมชาติ” หรือธรรมะ คำว่า “ธรรมะก็คือกฏแห่งธรรมชาติ กฏแห่งความสมเหตุสมผลนั่นเอง”
.
ซึ่งคนที่ไม่สามารถเข้าใจกฏของธรรมชาติ พระองค์เรียกว่า ผู้ที่ยังคงจมอยู่กับอวิชชา นั่นคือผู้ที่ไม่สามารถรู้กฏความเป็นไปของธรรมชาติได้
.
ฉะนั้นการขอพรไม่สามารถทำให้สำเร็จได้ แต่หากอยากสำเร็จต้องสร้างกระบวนการที่สามารถนำพาไปสู่ความสำเร็จให้เกิดขึ้นมาเท่านั้น ซึ่งพระองค์ก็สอนไว้ชัดเจน ในอริยสัจ4
.
ฉะนั้นขอให้เชื่อมั่น ยึดมั่นในแก่นหลักธรรมคำสอนเป็นหลักแลัวนำมาประยุกต์ใช้จริงกับชีวิตให้ได้ หากทุกคนทำได้ ศาสนาพุทธก็จะยั่งยืนสืบไปตราบนานเท่านาน
.
บทความนี้อย่าให้เป็นเพียงแค่รู้ไว้ประดับหัว แต่ให้นำไปใช้ด้วยการ
.
“ลงมือทำทันที”
.
.
.
เนื้อหาโดย AcTioN
AcTioN Taywagorn
ผู้เขียนบทความ“ทุกสิ่งทุกกอย่าง ในโลกนี้ย่อมมีการบ่งบอกความหมายในตัวของมันเสมอ อยู่ที่คุณจะตีความมันออกมาในรูปแบบไหน”
Popular Courses
฿12,900.00 ฿4,990.00 AcTioNContent Marketing
117 0ดิจิตอล360องศา ปั้นธุรกิจจาก0สู่100
56 0คอร์ส “เซียนธุรกิจ360องศา O2O
79 0คอร์ส สร้างโฆษณามืออาชีพ ให้ยอดขายกระจุย
260 0คอร์สสอนตัดต่อวีดีโอให้ปังจนใครๆก็อยากแชร์
458 0Web Design & SEO
221 0คอร์สสอนนำเข้า ส่งออกสินค้า
76 0บทความ แนะนำ
ความรู้ที่พร้อมเสริฟให้คุณ