แตกฉานทักษะ #ContentMarketing

#Neuromarketing ด้วยหลักวิชาของมหาศาสดาโลก

.

พระพุทธเจ้าพระองค์คือผู้แตกฉานและรู้แจ้งทุกสิ่งในโลกนี้ รวมถึงหลัก Content Marketing & Neuromarketing พระองค์ทรงเข้าใจถึงแก่นอย่างถ่องแท้ โดยเห็นได้จากบันทึกในพระไตรปิฎก ที่ทรงสอนแก่เหล่าสาวก และจากสิ่งที่พระองค์ทรงปฏิบัติจริงให้เห็น พระองค์ทรงมีกลยุทธ์ในการวางรูปแบบการนำเสนออย่างเป็นขั้นเป็นตอนเป็นหลักการ 

.

คุณลองนึกดูหากพระองค์ไม่เก่งด้าน Marketing ศาสนาพุทธคงไม่เกิด พระองค์คงตรัสรู้ในส่วนตัว และคงต้องดับหายไปกับพระองค์เมื่อปรินิพพาน แต่ด้วยทักษะอันเหนือชั้นในด้านContent marketing ทำให้พุทธศาสนาถูกบอกต่อ หรือที่เรียกว่าWord of Mouth และด้วยพลังของ Value content ที่เป็นทุนเดิม จึงทำให้ไม่ยากที่จะก่อเกิดสิ่งที่เรียกว่าViral Marketing ซึ่งไวรัลไม่ได้เกิดขึ้นโดยบังเอิญแต่เป็นเพราะความตั้งใจให้ก่อเกิดขึ้น จากกลยุทธ์ของพระองค์เอง

.

การที่แบรนด์ของพระองค์โด่งดังระดับโลกตราบจนปัจจุบันได้ เกิดจากกลยุทธ์ Branding ทั้งการสร้างแบรนด์บุคคล(Personal Brand)จนทำให้พระองค์เป็นมหาศาสดาโลกได้อย่างสง่างาม และสามารถสร้างแบรนด์แห่งศูนย์รวมจิตใจของผู้คน (Icon Brand) จนก่อเกิดเป็นแบรนด์ที่ชื่อว่า “ศาสนาพุทธ” สิ่งเหล่านี้ไม่มีทางที่จะเกิดขึ้นได้ หากพระองค์ขาดสกิลด้านการตลาดและการสร้างแบรนด์ และสิ่งที่ขับเคลื่อนแบรนด์ให้เติบโตได้มาจาก Content Marketing ล้วนๆ ที่ส่งผลทำให้ก่อเกิดแบรนด์ที่แข็งแกร่งระดับโลกนี้ขึ้นมาได้ สิ่งเหล่านี้ 

ทำให้ยืนยันได้ว่า “Content is King” ตลอดกาล

.

การที่แบรนด์ถูกบอกต่อ ส่งต่อจากรุ่นไปสู่รุ่น แม้ผ่านไปถึง 2500กว่าปี แต่ทุกวันนี้ศาสนาพุทธก็ยังคงอยู่คู่กับโลกใบนี้ แต่จะคงอยู่ตลอดกาลหรือไม่ อยู่ที่พวกเราชาวพุทธต้องช่วยกัน เพราะอย่างที่พระองค์ทรงสอนไม่มีอะไรที่จะอยู่ค้ำฟ้า เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ย่อมดับไปได้เสมอในสักวัน นี่คือสัจธรรม

.

ฉะนั้นพวกเรา ต้องไม่ประมาท ต้องช่วยกันสืบทอดพระพุทธศาสนาต่อไปให้ได้นานที่สุด และนี่ก็คือภารกิจของผมเช่นกัน คือ ช่วยส่งเสริม ชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ ให้ผู้คนได้ตระหนักรู้และตระหนักเห็น ผมจึงใช้คำสอนของหลักศาสนา นำมาประยุกต์ใช้กับการดำเนินชีวิตและธุรกิจ เพื่อให้คนรุ่นใหม่สามารถเข้าถึงได้ เพื่อส่งผลต่อความยั่งยืนสืบไป

.

ซึ่งความยั่งยืนจะเกิดได้ต้องเกิดจากการก้าวทันโลกให้ทัน อย่างที่พระองค์ทรงสอนแก่พวกเราให้มีสติตื่นรู้อยู่กับปัจจุบัน ฉะนั้นเมื่อปัจจุบันมีการเปลี่ยนแปลงก็ต้องใช้ปัญญามายืดหยุ่นเพื่อปรับตัวให้ก้าวทันอยู่เสมอ นอกจากนั้นพระองค์ได้ทรงสอนเหล่าสาวก โดยให้มีการปฏิรูป(Reform) คือ สอนให้รู้จัก”ดัดแปลง”ของเก่าที่มี ซึ่งอาจล้าสมัยเข้าถึงผู้คนยุคปัจจุบันได้ยาก ให้นำมาแปลงความหมายให้ทันยุคสมัย และทันแก่เหตุการณ์เสียใหม่ เพื่อให้ตรงกับหลักเหตุและผลยิ่งขึ้น 

.

เพราะต้องยอมรับว่าคนรุ่นใหม่เริ่มไม่ให้ความใส่ใจในศาสนา มองศาสนาเป็นเพียงแค่สัญลักษณ์ ที่เมื่อเกิดมาก็ถูกบังคับให้นับถือพุทธ แต่หาได้เข้าใจถึงแก่นคำสอนอย่างแท้จริงไม่ ซึ่งหากจากรุ่นสู่รุ่นมีแนวคิดแบบนี้ไปเรื่อยๆ อนาคตของพุทธศาสนาอาจต้องดับสูญไปในสักวันตามกฎของไตรลักษณ์อย่างแน่นอน ผมจึงขออาสาเน้นให้เข้าถึงคนรุ่นใหม่ด้วยการสื่อให้เห็นถึงหลักธรรมคำสอนที่มาประยุกต์ใช้ได้จริงๆกับชีวิต เพื่อให้ศาสนาได้ถูกสืบทอดและบอกต่อไปตราบนานเท่านาน 

.

และนี่คือเหตุผลว่าทำไมผมจึงต้องประยุกต์หลักธรรมคำสอนให้ทันยุกต์ทันสมัย

.

ซึ่งเทคนิคการประยุกต์ใช้ ก็คืออีกกลยุทธ์หนึ่งของ Content Marketing ที่แบรนด์ยุคใหม่ต้องมีสกิลด้านนี้ 

.

คราวนี้ก็ขอเข้าสู่โหมดการเรียนรู้แบบเต็มตัวกันได้เลย

.

การที่ศาสนาประสบความสำเร็จในการเผยแผ่ ล้วนเกิดจากกลยุทธที่พระองค์ได้วางเอาไว้ กลยุทธ์ของพระองค์คือทรงเน้นการสร้างสาวก เพราะเป็นไปไม่ได้ที่พระองค์จะต้องไปทุกที่ได้ด้วยตนเอง การสร้างเหล่าสาวกเพื่อให้เป็นตัวแทนในการช่วยกระจายและบอกต่อ ก็เปรียบเหมือนกลยุทธ์การสร้างระบบตัวแทนของแบรนด์นั่นเอง โดยให้เหล่าบรรดาสาวกช่วยทำการเผยแพร่ต่อไปเรื่อยๆ พระองค์จึงได้มีการสอนทักษะด้านContent Marketing ให้บรรดาเหล่าสาวกอย่างเป็นหลักการ 

ซึ่งผมขอประยุกต์คำสอนให้เข้ากับยุคดิจิทัลโดยแก่นหลักยังคงอยู่ เริ่มจากพระองค์ทรงสอนวิธีคิด สิ่งแรกของการเป็นนักสร้างคอนเท้นท์ที่สุดยอดได้ คุณต้องมีความแตกฉานเข้าใจในหลักการของเรื่องนั้นๆอย่างแท้จริง เรียกว่า

.

#ปฏิสัมภิทาญาณ4 หรือปัญญาแตกฉานทั้ง 4ด้าน ที่พระองค์ทรงตรัสไว้ว่าเป็นพื้นฐาน ที่พระอริยบุคคลทุกขั้นตั้งแต่พระโสดาบันจนถึงพระอรหันต์ต้องมี เพื่อประโยชน์ในการนำหลักธรรมไปเผยแพร่ต่อ อันได้แก่

.

๑.#อัตถปฏิสัมภิทา-ปัญญาแตกฉานในอรรถ

ต้องมีความเข้าใจในเนื้อหา(Content) อย่างถ่องแท้ สามารถขยายความ แยกแยะออกไปได้โดยพิศดาร สามารถคิดเชื่อมโยงผสมผสานเนื้อหา(Combine) เข้าด้วยกัน ประยุกต์จนเป็นรูปแบบการนำเสนอในรูปแบบใหม่ๆได้เพื่อให้ทันสมัยตลอดเวลา โดยที่แก่นเนื้อหายังคงอยู่ (ตัวอย่างของอัตถปฏิสัมภิทา ให้ดูจากบทความผมบทนี้ที่ผมนำมาประยุกต์ให้ทันสมัยขึ้น)

.

๒.#ธัมมปฏิสัมภิทา-ปัญญาแตกฉานในธรรม

ต้องมีความเข้าใจในแก่นของสิ่งนั้นๆที่ต้องการนำเสนออย่างถ่องแท้ สามารถจับใจความสำคัญแก่นหลักของสิ่งนั้นๆ นำเสนอออกมาเป็นหัวข้อ หัวเรื่อง(Caption) แยกย่อยเป็นบทความต่างๆ โดยเรื่องต้องถูกย่อยมากลั่นมาแต่เนื้อๆ น้ำออกให้หมด เพื่อนำมาเสนอต่อให้ผู้คนได้เข้าใจอย่างถ่องแท้และง่ายๆ

.

๓.#นิรุตติปฏิสัมภิทา-ปัญญาแตกฉานในนิรุตติ

ต้องมีความรู้ในการสื่อสารด้วยภาษาที่แตกต่าง หรือที่นักการตลาดเรียกว่าต้องพูดภาษาเดียวกับลูกค้า ต้องทำให้เข้าถึงใจลูกค้าให้ได้ นั่นหมายถึงต้องรู้จักกลุ่มเป้าหมายได้เป็นอย่างดี ต้องรู้ Targeting ของตน ว่ากลุ่มเป้าหมายชอบอะไร อะไรที่จะเกิดประโยชน์กับเค้า โดยเมื่อรู้แล้วให้ทำการเชื่อมต่อ(Connect) เพื่อปรับรูปแบบของตนเองให้มี Positioning หรือจุดยืนที่ชัดเจนกับTargeting โดยใช้กลยุทธ์ Brand Purpose จนสามารถทำให้เกิด Purpose of Buying นั่นคือการออกแบบแบรนด์เพื่อให้ตอบสนองกับความต้องการของผู้บริโภคให้ได้ โดยใช้คอนเท้นท์เป็นตัวเชื่อมโยงกับกลุ่มเป้าหมายเพื่อให้ก่อเกิดการซื้อนั่นเอง 

.

และการนำเสนอทุกครั้งพระองค์ต้องมีกลยุทธ์เสมอ เรียกว่ากลยุทธ์ในการเลือกตรัส

.

โดยหลักการ การเลือกตรัส(นำเสนอ)ของพระพุทธเจ้ามีดังนี้

.

๑) คำพูดที่ไม่จริง ไม่ถูกต้อง, ไม่เป็นประโยชน์, ไม่เป็นที่รักที่ชอบใจของผู้อื่น – ไม่ตรัส

๒) คำพูดที่จริง ถูกต้อง, แต่ไม่เป็นประโยชน์, ไม่เป็นที่รักที่ชอบใจของผู้อื่น – ไม่ตรัส

๓) คำพูดที่จริง ถูกต้อง, เป็นประโยชน์, ไม่เป็นที่รักที่ชอบใจของผู้อื่น – เลือกการตรัส

๔) คำพูดที่ไม่จริง ไม่ถูกต้อง, ไม่เป็นประโยชน์, ถึงเป็นที่รักที่ชอบใจของผู้อื่น – ไม่ตรัส

๕) คำพูดที่จริง ถูกต้อง, แต่ไม่เป็นประโยชน์, ถึงเป็นที่รักที่ชอบใจของผู้อื่น – ไม่ตรัส 

๖) คำพูดที่จริง ถูกต้อง, เป็นประโยชน์, เป็นที่รักที่ชอบใจของผู้อื่น – ทรงตรัส 

.

จะเห็นว่าพระองค์ทรงวิเคราะห์ก่อนตรัสเสมอ สิ่งสำคัญคือคุณต้องรู้กลุ่มเป้าหมายคุณเป็นอย่างดีว่าการนำเสนอแบบไหนที่ลูกค้าต้องการ จากนั้นเมื่อรู้ก็ให้มาออกแบบContent ของคุณให้เหมาะสมกับกลุ่มเป้าหมาย โดยให้เน้นเรื่องราวที่จริง ถูกต้อง เป็นประโยชน์ และเป็นที่รักที่ชอบใจเป็นหลักเสมอ

.

๔.#ปฏิภาณปฏิสัมภิทา-ปัญญาแตกฉานในปฏิภาณ

ต้องมีไหวพริบ ทันเหตุการณ์ รู้จังหวะ ถูกที่ถูกเวลา รู้ว่าตอนไหนและเวลาไหนควรนำเสนออะไรแบบไหน เทคนิคการนำเสนอแบบไหนที่เหมาะกับสถานะการณ์ คอนเท้นท์แบบไหนเหมาะกับคนประเภทไหน รู้จักประยุกต์ใช้เครื่องมือต่างๆช่องทางต่างๆที่คิดว่ามีผู้สนใจเพิ่มเติม รู้จักประยุกต์เนื้อหา ต้องฝึกคิดนอกกรอบด้วยการนำเสนอในรูปแบบที่แตกต่างโดยยึดแก่นหลักไว้

.

และนี่คือ4 วิธีคิด(Mindset) ที่พระพุทธเจ้าทรงสอนแก่เหล่าสาวกให้รู้จักหลักการสร้างคอนเทนท์ เพื่อให้เป็นผู้เผยแพร่ศาสนาสืบทอดต่อไป ซึ่งคุณจะต้องมีครบทั้ง4 หากอยากเป็นนักผลิตคอนเท้นท์ที่ใครๆก็อยากติดตาม

.

ซึ่งไม่เพียงแค่พระองค์จะแตกฉานแค่หลัก Content Marketing แต่พระองค์ยังทรงสามารถรับรู้ความต้องการของสมองของมนุษย์ได้อย่างเข้าใจถ่องแท้ พระองค์ทรงรู้ว่าต้องนำเสนอรูปแบบไหนจึงสามารถกระตุ้นสมองของผู้รับสื่อ เพื่อให้เกิดการยอมรับและคล้อยตามได้ หรือที่นักการตลาดเรียกกันว่าหลัก Neuromaketing 

.

ซึ่งหลักการนี้นักการตลาดพึ่งรู้จักกันมาไม่กี่ปีแต่พระองค์ทรงค้นพบมาแล้วกว่า2500ปี และพระองค์ได้ทรงถ่ายทอดความรู้เหล่านี้ให้กับสาวก จึงพูดได้เลยว่าพระองค์ทรงเป็นครูคนแรกที่พูดถึงเรื่องNeuromaketing ก็ว่าได้

.

#ซึ่งหลักของพระองค์ถูกเรียกว่าลีลาในการสอน๔อย่าง มีดังนี้

.

๑.) #สันทัสสนา ต้องอธิบายให้เห็นชัดเจนแจ่มแจ้ง เหมือนจูงมือไปดูให้เห็นกับตา 

.

การทำงานของสมองจะถูกกระตุ้นการรับรู้ เมื่อได้เห็นหรือรู้สึกว่าได้สัมผัสกับสิ่งที่เสมือนเกิดขึ้นกับตนจริงๆ ซึ่งโปรดักซ์ยิ่งคุณสามารถนำเสนอให้เหมือนลูกค้าได้สัมผัสของจริงเท่าไหร่ ยิ่งมีโอกาสสำเร็จมากขึ้นเท่านั้น เช่น หากคุณต้องการนำเสนอเรื่องความเย็น คุณต้องสื่อสารให้ลูกค้ารู้สึกให้ได้ว่าใช้แล้วโคตรเย็นให้ดูตัวอย่างโฆษณาแป้งเย็น ทำให้รู้สึกว่าใช้แล้วมันต้องเย็นแน่ๆ 

.

หรือเรื่องความแรงให้ดูตัวอย่างพัดลมฮาตาริ ที่ใช้แล้วคนปลิว ทำให้รู้ได้เลยว่าต้องแรงมากสุดๆ หรือหากเป็นเรื่องความอร่อยต้องสื่อสารทางภาพที่ดูแล้วต้องให้น้ำลายสอให้ได้ และหากมีภาพคนประกอบอารมณ์ของภาพต้องรู้สึกฟินสุดๆเมื่อได้ลิ้มลอง ส่งผลให้สมองถูกกระตุ้น ต่อมอยากลิ้มลองทำงานทันที เหล่านี้เป็นต้น ฉะนั้นสิ่งที่คุณขาดไม่ได้เลยคือเรื่องกลยุทธ์การนำเสนอด้วยภาพและวีดีโอ เพื่อกระตุ้นให้เห็นภาพได้ คุณจึงต้องมีสกิลด้านการครีเอทชิ้นงานโฆษณา และสกิลตกแต่งรูปและคลิป ซึ่งถ้าคุณไม่มีความรู้เรื่องนี้โอกาสนำเสนอให้สำเร็จจะยากมากๆ

.

๒.) #สมาทปนา ต้องจูงใจให้เห็นด้วย ชวนให้คล้อยตาม ทำให้ต้องยอมรับ

.

สมองจะรู้สึกเฉยๆหากไม่มีสิ่งใดมาเร้ากระตุ้น ฉะนั้นการเร้าสมองด้วยการจูงใจให้เกิดความอยากได้อยากมี จึงสำคัญมากๆ 

.

ซึ่งสิ่งนี้ต้องมีสกิลและกลยุทธ์ด้านการเขียน Sale Page เป็นเทคนิคการเขียนเพื่อจูงใจให้เกิดการซื้อให้ได้ ซึ่งการนำเสนอต้องคำนึงถึง2สิ่งหลักคือ Pain & Gain คือต้องกระตุ้นสมองให้เค้าเห็นจุดเจ็บปวดของตน แล้วหาทางแก้ปัญหาด้วยการนำเสนอSolution หรือนำเสนอด้วยGain ที่เป็นตััวช่วยให้เค้าพ้นทุกข์ได้ 

.

ซึ่งGain จะประกอบด้วย 3B คือ

.

– Better ต้องทำให้เค้ามีชีวิตที่ดีขึ้นกว่าเดิม

คือ มีแล้ว เซฟขึ้น รวยขึ้น สวยขึ้น เก่งขึ้น ไฮโซขึ้น

.

– Bigger ต้องทำให้เค้ารู้สึกคุ้มค่า

คือ ได้มากขึ้น ได้ใหญ่ขึ้น 

.

– Builder จากไม่เคยมี ต้องสร้างให้เค้ามี 

คือ ทำให้เค้ารู้สึกว่าเรามาเติมเต็มให้เค้า

.

โดยเทคนิคของผมคือใช้ ๓ พลังการจูงใจ 

.

๒.๑ ให้เริ่มต้นนำด้วยการเร้าอารมณ์(Emotion) เพื่อให้สนใจ ตัวอย่างเช่น “ขอเวลาอ่านแค่10บรรทัด!! แล้วโอกาสดีๆ จะเกิดกับคุณ” เป็นต้น

.

๒.๒ จากนั้นเสนอด้วยเหตุและผล เพื่อทำให้เค้ายอมรับ “คือการนำเสนอ Solution ที่จะมาช่วยแก้ปัญหาให้เค้าได้” 

.

๒.๓ ปิดด้วยการเร้าอารมณ์อีกครั้ง เพื่อให้คล้อยตามด้วยการซื้อ ตัวอย่างเช่น “หากคุณพลาดโอกาสดีๆในครั้งนี้ อาจหาไม่ได้อีกแล้วในชีวิตคุณ!!” เป็นต้น

.

คีย์สำคัญขอให้จำไว้ว่าจุดขายที่สำเร็จได้ ไม่ใช่เพราะคุณสมบัติของสินค้า แต่จุดที่จะกระตุ้นสมองให้ซื้อได้นั้น ต้องเกิดจากการทำให้เค้ารู้ให้ได้ว่าทำไมเค้าต้องซื้อสินค้าของคุณ ไม่ใช่ของคนอื่น ถ้าคุณเคลียร์ตรงนี้และนำเสนอได้อย่างตรงประเด็นยังไงคุณก็ขายได้อย่างแน่นอน

๓.) #สมุตเตชนา สร้างความเร้าใจ ปลุกใจให้กระทำ

.

การนำเสนอต้องมีจุดพีค เพื่อให้ลูกค้าตัดสินใจกระทำหรือสั่งซื้อได้ทันที ณจุดนั้น นั่นหมายถึง การนำเงื่อนไขของPromotion และเงื่อนไขของเวลามาเป็นจุดตัดสินให้ซื้อ เนื่องจากสมองของมนุษย์จะกลัวการสูญเสีย ฉะนั้นคุณจึงต้องออกแบบ Key Message เพื่อกระตุ้นให้เค้ารู้สึกว่าถ้าไม่ซื้อตอนนี้จะเสียโอกาสทันที ต้องซื้อแพงกว่าทันที ตัวอย่างเช่น”สั่งซื้อตอนนี้รับโปรโมชั่นไปเลยเฉพาะนาทีทองวันนี้วันเดียวเท่านั้น พรุ่งนี้ปรับราคาทันที” เป็นต้น 

.

ซึ่งเมื่อได้รับข้อความนี้ สมองเค้าจะถูกกระตุ้นให้รู้สึกต้องตัดสินใจในทันที ซึ่งหากไม่ตัดสินใจซื้อตอนนี้จะต้องพลาดโอกาสทองไปอย่างน่าเสียดาย ซึ่งตามหลักการขาย ต้องทำอย่างไรก็ได้เพื่อปิดการขายให้ได้ ณตอนนั้น เพราะถ้าปล่อยให้ลูกค้ากลับไปเพื่อคิดดูก่อน โอกาสการกลับมาซื้อจะน้อยลงกว่า50% เพราะลูกค้าส่วนใหญ่มักซื้อของด้วยอารมณ์เป็นหลัก เมื่อเวลาผ่านไปความอยากได้ก็จะลดถอยลงไปเรื่อยๆจนหลุดได้ง่ายมากๆ คุณจึงต้องปิดการขายให้ได้ตอนนั้นเท่านั้น!!

.

๔.) #สัมปหังสนา ชโลมใจให้แช่มชื่น ร่าเริง เบิกบาน ฟังไม่เบื่อ 

.

สมองของมนุษย์มักเปิดรับกับสิ่งที่ทำให้เค้ารู้สึกดี จึงไม่แปลกเลยที่คลิปตลก คลิปหมาแมวน่ารัก บทความสร้างแรงบันดาลใจ จึงมักได้รับความนิยมอยู่เสมอ เพราะดูแล้วสนุกทำให้คลายเคลียด ทำให้มีกำลังใจ อย่างที่พระองค์ทรงสอน ให้พูดภาษาเดียวกับลูกค้า(นิรุตติปฏิสัมภิทา) เพราะพระองค์ทรงทราบดีว่า สมองของมนุษย์ส่วนใหญ่ชอบสิ่งที่ได้เสพแล้วรู้สึกดีต่อใจ จึงชอบฟังคนที่ทำให้รู้สึกดี รู้สึกไม่น่าเบื่อ 

.

ฉะนั้นคุณต้องสื่อสารให้เหมือนคนคุยกับคน ไม่ใช่คุยกับหุ่นยนต์ ภาษาต้องอย่าทางการทำให้อ่านง่ายดูแล้วเข้าถึงได้ มีทริค มีลูกเล่นในการนำเสนอ มีมุกเสริมบ้าง ต้องมีสีสันความสนุกหรือเร้าใจได้ยิ่งดี นี่เป็นจุดสำคัญที่คุณต้องคำนึง เพราะไม่มีใครมานั่งอ่านหรือฟังแต่เนื้อหาสูตรผสมเท่านั้นเท่านี้กี่ส่วนของแบรนด์คุณกันหรอก หรือหากใครเป็นกูรูด้านต่างๆ เอาแต่เสนอวิชาการจ๋าแบบเต็มข้อ ก็ไม่มีใครอยากอ่านอยากติดตามเช่นกัน เพราะแค่บทเรียนในมหาลัยก็น่าเบื่อพอละ เทคนิค คือคุณต้องจับจุดความต้องการของลูกค้าให้ได้ แล้วนำเสนอในสิ่งที่ลูกค้าคุณต้องการ แค่นั้น จบ!!

.

และนี่คือ4กลยุทธ์ Neuromaketing ที่พระองค์ทรงสอนแก่เหล่าสาวก

.

ไม่เพียงเท่านี้พระองค์ยังทรงมีลูกเล่นและเทคนิคอีกมากมายที่นำมาสอนให้เหล่าสาวก ซึ่งเทคนิคเหล่านี้ล้วนเป็นกลยุทธ์ที่ใช้กันอยู่ในการตลาดยุคปัจจุบันทั้งสิ้น สิ่งทั้งหมดนี้ วัตถุประสงค์คือ พระองค์ทรงต้องการให้ผู้ที่ได้ฟังเกิดคล้อยตามเพื่อให้ก่อเกิดเป็นความภักดีในแบรนด์พระพุทธศาสนา (Brand Loyalty) ให้ได้ และนี่คือกลวิธีที่พระองค์ได้สอนแก่เหล่าสาวก

.

10 กลวิธี Content Marketing เพื่อเผยแพร่ศาสนาให้ก้องโลก!! มีดังนี้

.

๑. #ยกการเล่าเรื่องประกอบ เพื่อช่วยให้เข้าใจได้ง่ายและชัดเจน ช่วยให้จำแม่น เห็นจริง และเกิดความเพลิดเพลิน

.

นั่นคือคุณต้องใช้กลยุทธ์ Storytelling (การเล่าเรื่อง)&Testimonial (การรับรองจากลุกค้าที่ใช้ว่าดีจริง) มานำเสนอ เช่นคุณต้องยกเคสที่คุณสามารถแก้ปัญหาได้จริง เช่นรีวิวประกอบ โดยคุณต้องมีสกิลเล่าเรื่องที่ดีเล่าเรื่องให้คนคล้อยตามเล่าให้สนุกและให้เห็นภาพให้ได้ ไม่เพียงแค่นั้นไม่ว่าจะเป็นสินค้า แบรนด์ หรือแม้แต่เจ้าของแบรนด์ คุณต้องมีสตอรี่ที่มาที่ไปเสมอ เพราะการใส่เรื่องราวลงไปมันจะเพิ่มการเข้าถึงผู้บริโภคได้ง่ายขึ้นกว่าเป็นแค่ตัวสินค้าอยู่ๆโผล่ขึ้นมาอย่างมากมาย Storytelling จึงเป็นสิ่งที่แบรนด์ห้ามมองข้าม !!

.

๒. #การเปรียบเทียบด้วยข้ออุปมา คำอุปมาช่วยให้เรื่องที่ลึกซึ้งเข้าใจยาก เข้าใจง่ายขึ้น

.

คุณต้องรู้จักเปรียบเปรยเปรียบเทียบเพื่อให้เข้าใจง่ายขึ้น เช่น บทความ Infographic ของผมที่ใช้รถเปรียบเทียบ กับศาสตร์พระราชา เช่น รถ เปรียบเป็นพาหนะไปสู่เป้าหมาย และรถจะขับเคลื่อนได้ต้องใช้น้ำมันซึ่งน้ำมันหมายถึง ความรู้ และพลังทั้ง5 นั่นหมายถึงเป้าหมายจะขับเคลื่อนได้ต้อง อาศัยความรู้และพลังทั้ง5 อันได้แก่ ศรัทธา วิริยะ สติ สมาธิ และปัญญา ซึ่งหากขาดสิ่งเหล่านี้ไปก็เปรียบเหมือนรถที่ขาดน้ำมันที่ไม่สามารถวิ่งได้ เป็นต้น

.

๓. #การใช้อุปกรณ์ประกอบ ในสมัยพุทธกาล หากจะใช้อุปกรณ์บ้าง ก็ต้องอาศัยวัตถุสิ่งของที่มีในธรรมชาติ เพื่อให้ดูมีสีสัน

.

ในปัจจุบันหมายถึงการมีลูกเล่นต่างๆประกอบ เช่นทำคลิปที่มีแสงสีเสียงให้ดูอลังการน่าสนใจ น่าตื่นเต้นเร้าใจ หรือสนุกสนานน่าติดตามเป็นต้น 

.

๔. #การทำเป็นตัวอย่าง วิธีการที่ดีที่สุดอย่างหนึ่ง คือการทำสาธิตให้ดู

.

อันนี้ให้ดูโฆษณาพวกทีวีไดเร็คได้เลย ประมาณ โอ้ววว!!ใช้แล้วมันสุดยอดมากจ๊อด ดูสิหน้าท้องลดหายไปเลย หรือกระทะ ก็ทอดไข่ให้ดูเลยว่าไม่ได้ใช้น้ำมันจริงๆ เป็นต้น 

.

๕. #การเล่นภาษาเล่นคำ และใช้คำให้ฟังแล้วรื่นหู

.

หมายถึงการมี สโลแกน(Slogan) ที่บ่งบอกถึงแบรนด์ เล่นคำให้เกิดการคุ้นหู แค่ได้ยินก็จดจำได้ เช่น หิวเมื่อไหร่ก็แวะมา เซ่เว่น อีเลฟเว่น หรือ เป็บซี่รสชาติของคนรุ่นใหม่ หรือคิดจะพักคิดถึงคิตแค็ท หรือแต่งเป็นเพลงก็ได้เพื่อให้รื่นหูและจดจำได้ง่าย เช่นเพลงกระทะโคเรียคิง ที่ทุกคนคุ้นหูเป็นอย่างดี เป็นต้น

.

๖. #อุบายเลือกคนและการปฏิบัติรายบุคคล ทรงพิจารณาว่าเมื่อจะเข้าไปประกาศพระศาสนาในถิ่นใดถิ่นหนึ่งควรไปโปรดใครก่อน

.

สิ่งนี้หมายถึง การทำการตลาดโดยผู้ทรงอิทธิพลทางความคิด หรือที่เรียกว่า Influencer Marketing โดย Influencer จะถูกแบ่งเป็น4กลุ่ม คือ

.

– Celebrities หรือคนที่มีชื่อเสียงในสังคม ดารา นักร้อง นักแสดง มีคนติดตามมากกว่า 1ล้านคนขึ้นไป

.

– Power Influencers หรือกลุ่มบล็อกเกอร์ที่มีชื่อเสียง เป็นที่รู้จัก และมีผู้ติดตามตั้งแต่ 1แสน ถึง 1ล้านคน

.

– Peer Influencers คือ กลุ่มบล็อกเกอร์ที่มีความชื่นชอบ หรือเชี่ยวชาญในเรื่องใดเรื่องหนึ่งเป็นพิเศษ ทำให้มีคนที่ชื่นชอบในเรื่องเดียวกันมาติดตาม โดยมีจำนวนผู้ติดตามประมาณ 1หมื่น ถึง 1แสนคน

.

– Micro Influencers คือ คนทั่วไปที่ชื่นชอบการรีวิวสินค้า หรือชอบเขียนบล็อกของตัวเอง โดยมีผู้ติดตามประมาณ1พัน ถึง 1หมื่นคน

.

นี่คือกลยุทธ์ยอดฮิต ที่แบรนด์สนใจใช้กันอย่างกว้างขวาง และพึ่งมาฮิตได้ไม่นาน แต่พระพุทธเจ้า พระองค์ทรงเข้าใจหลักการนี้เป็นอย่างดี คือมุ่งหาผู้ทรงอิทธิพลทางความคิดต่อผู้คนก่อนเป็นอันดับแรกเสมอ เพราะถ้าสามารถทำให้ผู้ทรงอิทธิพลเชื่อได้จนเกิดการบอกต่อ การบอกต่อจากผู้ทรงอิทธิพลทางความคิดจะเกิดขึ้นอย่างทรงพลังเป็นวงกว้าง และผู้ที่ได้รับสารมักจะเชื่อตามเสมอ

.

๗. #การรู้จักจังหวะและโอกาส เป้าหมายยังไม่พร้อม ก็ต้องมีความอดทน ไม่ชิงหักหาญหรือดึงดันทำ แต่ต้องตื่นตัวอยู่เสมอ

.

คำว่าแบรนด์ไม่อาจเกิดขึ้นได้ในเวลาอันสั้น ก่อนจะมาเป็นแบรนด์ที่คนยอมรับได้ ต้องผ่านกระบวนการCustomer Path ซึ่งมีอยู่5ขั้นตอน หรือ 5A คือ

.

ขั้นที่1 Aware

ทำให้ลูกค้าเกิดการรับรู้ว่าแบรนด์ของคุณมีตัวตนอยู่ในโลกนี้ ลูกค้าอาจเห็นผ่านๆจากสื่อโฆษณาช่องทางที่คุณโปรโมท เช่นเด้งมาในฟีดFacebook ซึ่งแรกๆอาจจะถูกเลื่อนผ่าน แต่เห็นบ่อยๆเข้า ลูกค้าจะเริ่มคุ้นชิน ซึ่งหากเริ่มสนใจ หรือจดจำได้ ก็ต้องไปสู่ขั้นตอนที่2 (หากเป็นออฟไลน์ ก็คือรู้ว่ามีแบรนด์นี้อยู่ในชั้นวางของห้าง แต่เดินผ่านไปไม่เคยคิดจะหยิบดู)

.

ขั้นที่2 Appeal

คือเห็นจนจำได้ ชักสนใจ หากเป็นโฆษณาในฟีดก็เริ่มกดดูโฆษณา ซึ่งขั้นตอนนี้หากสินค้าคุณไม่โดนใจก็จะจอดแค่ตรงนี้ แต่หากสินค้าของแบรนด์คุณ โดนใจก็จะไปสู่ขั้นตอนที่3 (หากเป็นออฟไลน์ ก็คือลองหยิบขึ้นมาอ่านรายละเอียด)

.

ขั้นที่3 Ask

เมื่อลูกค้าสนใจสินค้าแน่นอนเค้าจะต้องสอบถาม หากเป็นลูกค้าประเภทถามแล้วซื้อเลยไม่มีปัญหา แต่มีบางส่วนมักจะต้องค้นหาข้อมูลจากแหล่งอื่นๆก่อน อาจจะถามเพื่อนที่เคยใช้ หรือหาจากกูเกิ้ล ซึ่งหากค้นดูแล้วมีแต่คนบ่นคนด่าแน่นอนคือจบ แบรนด์เน่าทันที แต่หากมีแต่คนชม แน่นอนต้องรู้สึกว่ามั่นใจได้ ก็เข้าสู่ขั้นตอนที่4 (หากเป็นออฟไลน์ คือสอบถามรายละเอียดพนักงาน หรือกลับมาหาข้อมูลเพื่อตัดสินใจ)

.

ขั้นที่4 Act

การซื้อสินค้า ซึ่งหลังซื้อไป เมื่อได้ใช้แล้วหากสินค้าห่วย หรือดี ก็จะไปสู่ขั้นตอนที่5 

.

ขั้นที่5 Advocate

เมื่อลูกค้าคุณใช้แล้วประทับใจหรือไม่ประทับใจอย่างไร ก็จะมีการบอกต่อกับเพื่อน คนในครอบครัว หรือสื่อออนไลน์ ซึ่งถ้าเป็นทางดีคือแบรนด์คุณจะแกร่งขึ้น แต่ถ้าเป็นทางลบก็เน่าลงทันที

.

และนี่คือเส้นทางของลูกค้า ตั้งแต่เริ่มจนถึงบอกต่อจะเห็นว่าทุกขั้นตอนล้วนเกิดจากการสะสมประสบการณ์ของลูกค้าไต่ระดับขึ้นไปเรื่อยๆ ฉะนั้นหลักสำคัญในการสร้างแบรนด์คือคุณต้องออกคอนเท้นท์อย่างคงเส้นคงวา (Consistency)

.

คีย์สำคัญคือ แบรนด์ที่จะประสบความสำเร็จมากที่สุด คือ แบรนด์ที่สามารถสร้างประสบการณ์ที่ดีให้กับลูกค้าได้มากที่สุด 

.

๘. #ความยืดหยุ่นในการใช้วิธีการ .ให้มุ่งไปยังผลสำเร็จที่จะได้รับเป็นสำคัญ สุดแต่จะใช้กลวิธีใดในการนำเสนอก็ได้ วิธีไหนดีสุดก็ให้ใช้วิธีการนั้น

.

ยุทธวิธีตายตัวไม่สามารถใช้ได้กับมนุษย์ทุกประเภท เพราะคนแต่ละคนย่อมมีความชอบไม่เหมือนกัน ผมจึงคิดค้นหาวิธีที่จะผูกใจลูกค้าทุกกลุ่มให้ได้ จนเกิดเป็น กลยุทธ์สร้างตนให้เป็นน้ำ(Water Strategy) นั่นหมายถึงไม่ว่า จะเอาภาชนะรูปแบบไหนทรงไหนมาใส่น้ำ น้ำจะปรับตัวเข้าได้เสมอในทุกๆทรวดทรงของภาชนะ นั่นคือคุณต้องเป็นฝ่ายปรับตัวให้เข้ากับลูกค้าในทุกๆประเภทให้ได้แล้วคุณจะได้ใจอย่างกว้างขวาง สิ่งนี้คุณต้องรู้จักคน ซึ่งเทคนิคสุดยอดในการทำให้รู้จักคน พระพุทธเจ้าพระองค์ได้ทรงบัญญัติไว้เรียบร้อยด้วย ศาสตร์อ่านใจคนด้วยจริตทั้ง6 ซึ่งผมได้ประยุกต์บทความนี้ไว้เป็นที่เรียบร้อยชื่อ”ขายกระจุย แค่รู้จริตทั้ง6″ ลองหาอ่านในเพจได้เลย 

.

๙. #การให้รางวัล จูงใจด้วยการนำเสนอบางสิ่งบางอย่างเพื่อให้เกิดการกระทำ

.

นั้นคือการใช้กลยุทธ์ UGC (User Generated Content) คือ การสร้างเนื้อหาหรือ Content ที่เกิดจากลูกค้า ให้มีการกล่าวถึง เอ่ยถึง ในคอนเทนท์ที่ลูกค้าสร้างขึ้นมาเอง ด้วยรูปแบบภาพถ่ายหรือ คลิปวิดีโอที่ถ่ายในร้านของคุณหรือถ่ายกับสินค้าของคุณ ในยุคนี้เป็นยุคที่คนเชื่อกันเองไม่เชื่อแบรนด์เพราะฉะนั้นแบรนด์ต้องปรับตัวตามให้ได้ ด้วยการให้ผู้บริโภคเป็นผู้บอกต่อ โดยการจูงใจด้วยของรางวัล

.

เช่น การประกวดให้ถ่ายคู่กับแบรนด์สินค้า รูปไหนฮาสุด เจ๋งสุด หรือวัดจากยอดไลค์มากสุดจะเป็นผู้ชนะ หรือไลค์แชร์ และคอมเม้นท์เพื่อลุ้นเป็นผู้โชคดี เป็นต้น สิ่งเหล่านี้ละที่เรียกว่ากลยุทธ์ UGC

.

๑๐. #กลวิธีแก้ปัญหาเฉพาะหน้า คือ ความสามารถในการประยุกต์หลักวิธีการ และกลวิธีต่างๆ มาใช้ให้เหมาะสม เป็นเรื่องเฉพาะครั้ง เฉพาะคราวไป

.

นั่นหมายถึงการผลิตคอนเท้นท์ที่จับจังหวะของกระแสความสนใจในเรื่องนั้นๆในสังคม เมื่อรู้ว่าเรื่องนั้นๆอยู่ในกระแสก็ให้สร้างคอนเท้นท์ที่เกาะกระแสโดยต้องบิดการแฝงโฆษณาแบรนด์เข้าไปด้วย สำคัญต้องคำนึงถึงธีมของแบรนด์เป็นหลักห้ามหลุดกรอบ เป็นต้น

.

.

และทั้งหมดนี้คือกลยุทธ์ Content Marketing และ Neuromaketing ที่พระพุทธเจ้าใช้สอนเหล่าบรรดาสาวกของพระองค์ จะเห็นว่าพระองค์ทรงให้ความสำคัญกับ Content Marketing อย่างมาก ทั้งที่พวกเราพึ่งมารู้จักคำๆนี้ มาไม่กี่ปีมานี่เอง แต่พระองค์ทรงเข้าใจหลักการนี้อย่างแตกฉานมากกว่า 2500กว่าปีมาแล้ว ซึ่งหลักการทั้งหมดของพระองค์ เมื่อบิดการนำเสนอนิดเดียวล้วนแล้วแต่ทันสมัยกับการตลาดยุคดิจิทัลอย่างน่าเหลือเชื่อ 

.

และสิ่งนี้จะเห็นได้ว่าวิชั่นของพระองค์กว้างไกลยิ่งนัก พระองค์สามารถเข้าใจหลักการตลาดและนำมาสอนแก่เหล่าสาวก ก่อนพวกนักวิชาการฝรั่งจะนำเสนอเป็นบทเรียนได้นับเป็นพันๆปีเสียอีก ฉะนั้นถ้าผมจะบอกว่ามหาศาสดาโลก นามว่า “พระพุทธเจ้า” คือศาสตราจารย์ด้านการตลาดคนแรกของโลก!! ก็คงไม่ผิด

.

.

และนี่คือ เนื้อหาบางส่วนเพียง0.5%ของคอร์ส Content Marketing 360 Vol.1 ในแบบไม่ได้เจาะลึกลงรายละเอียด ซึ่งหากใครสนใจเรียนรู้อีก 99.5% ที่เหลือแบบเต็มๆ ในการผลิตสื่อคอนเท้นท์แบบครบวงจร ที่กล้าบอกได้เลยว่าละเอียดยิบที่สุดในประเทศนี้ ต้องห้ามพลาดกับโปรโมชั่น ข้อเสนอพิเศษถึง3ชั้น ใครสนใจ

.

ให้พิมพ์ในคอมเม้นท์ว่าสนใจ แล้วผมจะส่งรายละเอียดไปให้ครับ

.

หรือ ติดต่อID Line @bizbuddy ได้เลย

.

ต้องรีบนะครับเพราะตอนนี้มีโปรพิเศษสำหรับ 5คนแรกเท่านั้น

.

แต่หากใครอยากจะเสพความรู้ฟรีๆ ยังไม่อยากเสียตังค์หน้าเพจมีให้มากมาย ฉะนั้นอย่าลืมกดติดตามและติดดาวเพจเพื่อไม่ให้พลาดโอกาสความรู้ดีๆไว้ด้วยนะครับ

.

.

แล้วพบกันในคอร์สครับ

.

บทความโดย

.

AcTioN

.

ขอขอบพระคุณเนื้อหาอ้างอิงจาก 

.

พจนานุกรมพุทธศาสตร์ ฉบับประมวลธรรม

พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ. ปยุตฺโต)

พระธรรมปิฎก (ประยุทธ์ ปยุตฺโต)


AcTioN Taywagorn

AcTioN Taywagorn


ผู้เขียนบทความ

“ทุกสิ่งทุกกอย่าง ในโลกนี้ย่อมมีการบ่งบอกความหมายในตัวของมันเสมอ อยู่ที่คุณจะตีความมันออกมาในรูปแบบไหน”










Popular Courses

content marketing
฿12,900.00
฿4,990.00
AcTioN
AcTioN

Content Marketing

117
0


฿12,900.00
฿4,990.00
AcTioN
AcTioN

ดิจิตอล360องศา ปั้นธุรกิจจาก0สู่100

56
0


฿12,990.00
฿4,990.00
AcTioN
AcTioN

คอร์ส “เซียนธุรกิจ360องศา O2O

79
0


฿5,990.00
฿1,990.00
AcTioN
AcTioN

คอร์ส สร้างโฆษณามืออาชีพ ให้ยอดขายกระจุย

260
0


฿2,900.00
฿900.00
AcTioN
AcTioN

คอร์สสอนตัดต่อวีดีโอให้ปังจนใครๆก็อยากแชร์

458
0


฿7,990.00
฿2,990.00
AcTioN
AcTioN

Web Design & SEO

221
0


฿4,990.00
฿1,990.00
AcTioN
AcTioN

คอร์สสอนนำเข้า ส่งออกสินค้า

76
0

บทความ แนะนำ

ความรู้ที่พร้อมเสริฟให้คุณ


Content Marketing by Buddha


คุณเข้าใจแบรนด์อย่างลึกซึ้งแล้วหรือยัง


กลยุทธ์ลดค่าโฆษณาFacebookได้มหาศาล


คุณพร้อมแล้วหรือยังที่จะเป็นเจ้านายตัวเอง