ธุรกิจคุณสำเร็จหรือล้มเหลว คอนเท้นท์กำหนด!!
.
โพสต์นี้ผมจะตอกย้ำให้คุณได้เห็นว่า
“Content is King”ตลอดกาล
เพราะหลังอ่านจบ คุณจะรู้ว่าคอนเท้นท์สำคัญมหาศาลแค่ไหนกับธุรกิจคุณ
.
โดยปกติค่าเฉลี่ยทั่วไปของการโฆษณาวีดีโอจะอยู่ที่ 0.1-0.3บาท/การรับชม แต่ผมสามารถทำได้ 0.001% ลดต้นทุนไปได้ 100-300 เท่า
เท่ากับหากปกติคุณจ่ายงบค่าโฆษณาเดือนละ1-3หมื่นบาท
.
แต่หากคุณมีกลยุทธ์ในการทำคอนเท้นท์ที่ดี จาก1-3หมื่นจะเหลือแค่100-300บาท ต่อเดือน เท่านั้น เท่ากับต่อเดือน คุณสามารถประหยัดงบไปได้มากถึง 9900-29000 บาท (จริงๆแค่คุณประหยัดได้ 10-30 เท่า ก็ลดได้มหาศาลแล้วไม่ต้องทำให้เท่าผมก็ยังได้)
.
และโดยปกติค่าเฉลี่ยทั่วไปของการเพิ่มผู้ติดตาม(เพิ่มยอดไลค์เพจ) อยู่ที่ 3-7บาท/1ผู้ติดตาม ซึ่งยุคนี้อาจสูงถึง10-20บาทก็มี ซึ่งผมทำได้ 0.22บาท ลดต้นทุนไปได้ 15-30เท่า เท่ากับหากคุณต้องการผู้ติดตามเพจ 1แสนผู้ติดตาม คุณต้องจ่ายงบสูงถึง 3-7แสนบาท
.
แต่หากคุณนำเสนอคอนเท้นท์ที่ดี จะจ่ายเพียงแค่ 2หมื่นบาท แลกกับ1แสนผู้ติดตามได้ทันที เท่ากับประหยัดเห็นๆ 280,000-680,000 บาทไปฟรีๆ!!
.
นี่คือตัวอย่างที่เห็นๆจากสิ่งที่ผมพิสูจน์แล้วว่าทำได้จริง และคุณเองก็ทำได้เช่นกันหากได้เรียนรู้กลยุทธ์คอนเท้นท์ มาร์เก็ตติ้ง
.
และต่อไปนี้ผมจะขอตอกย้ำไปอีกชั้น และขอมาแบ่งปันความรู้ในการคำนวน KPI
.
KPI หรือ Key Performance Indicator
.
คือการวัดผลประสิทธิภาพ ของโฆษณา รวมถึงการวัดผลความสำเร็จขององค์กรได้อีกด้วย สิ่งนี้เป็นสิ่งจำเป็นมากๆ ที่คุณต้องรู้ เพราะมันจะทำให้คุณวางเป้าหมาย วางกลยุทธ์ใหม่ๆ เพื่อแก้หรือเพื่อเสริมได้ตลอดหากมีการ ประเมิน KPI เป็นระยะๆ
.
วิธีการคำนวณวัดผล KPI
.
(1) วัดจาก Reach ซึ่งหมายถึงการเข้าถึงผู้คนซึ่งต่อให้เห็นกี่ครั้งก็นับแค่ครั้งเดียว ซึ่งReachยิ่งสูงยิ่งดี (การวัดผลด้วยReach นิยมสำหรับวัตถุประสงค์ การรับรู้แบรนด์(ฺBrand Awareness) เพราะการรับรู้แบรนด์ที่ดี ต้องการให้เข้าถึงผู้คนให้มากที่สุดได้ยิ่งดี
.
วิธีการคิดคำนวณ
.
เช่น หากเป้าหมายคุณต้องการเข้าถึงผู้คน1แสนคน แต่Reach ได้จริง4หมื่น
Reach = (40,000(การเข้าถึงจริง) x 100) /100,000(จำนวนเป้าหมายที่ตั้งไว้)
= 40 % สรุปนั่นหมายถึง คุณทำได้เพียง 40%ของเป้าหมายที่ตั้งไว้
.
(วิธีเพิ่มจำนวนReach คือต้องปรับคอนเท้นท์ให้น่าสนใจ)
.
.
(2) วัดจาก Engagement คือการมีปฏิสัมพันธ์กับโพสต์ โดยการ คลิ๊กอ่าน ไลค์ แชร์ คอมเม้นท์ ยิ่งสูงยิ่งดี (โดยทั่วไปการวัดผลแบบนี้เหมาะกับวัตถุประสงค์เพื่อการนำเสนอ ประชาสัมพันธ์ เพื่อให้กลุ่มเป้าหมายรับรู้ การปฏิสัมพันธ์กับโพสต์จึงเป็นตัวชี้วัดความสำเร็จว่า ได้มีการรับรู้ในเนื้อหาแล้ว)
.
วิธีการคิดคำนวณ
.
ให้เอา Likes+Comments+Shares บวกรวมกันจะได้เป็น Engagement ซึ่งการหาต้นทุนของ Engagement ทำได้โดย เช่น หากEngagement ของคุณคือ1000 โดยโพสต์นี้คุณใช้งบไปทั้งหมด 10000บาท ก็จะเท่ากับ 1000(Engagement) / 10000(งบที่ใช้ไป) เท่ากับ คุณต้องจ่าย 10บาทแลกมากับ1 Engagement นั่นเอง
.
(วิธีลดต้นทุน คือต้องปรับคอนเท้นท์และมี CTA)
.
(3) วัดจากการ Click คือการคลิ๊กเข้าเว็บไซด์ การลงทะเบียน การสั่งซื้อ (การวัดผลนี้เหมาะกับ วัตถุประสงค์เพื่อโปรโมทเว็บไซด์ หรือต้องการปิดการขาย)
.
การคิดคำนวนค่าโฆษณาต่อการคลิกโฆษณา1ครั้ง โดยไม่สนใจว่าโฆษณานั้นได้แสดงผลต่อผู้ชมไปแล้วกี่ครั้ง ตัวอย่างเช่น คุณลงงบไป1หมื่น และมีการคลิ๊กโฆษณา1พันครั้ง วิธีคำนวนคือ 10000/1000 = 10 สรุปการลงทุนครั้งนี้คือ คุณต้องใช้เงิน10 บาท จึงจะได้ 1 การคลิ๊กนั่นเอง
.
(วิธีลดต้นทุน คือต้องปรับคอนเท้นท์และมี CTA )
.
(4) CTR (Click Through Rate)
.
คือ อัตราส่วนที่บ่งบอกว่าผู้เข้าชมหรือกลุ่มเป้าหมายของเรานั้น คลิกโฆษณาของเรามากน้อยแค่ไหน ไว้สำหรับประเมิน KPI ดัวอย่างเช่น มีคนเห็นแคมเปญโฆษณาคุณ 100,000 คน มีคนคลิก 10,000 คน
Click Through Rate(CTR) = 10,000 / 100,000 = 0.1 x 100 = 10% ก็เท่ากับว่าโฆษณาของคุณถูกเลื่อนผ่าน90% มีเพียง 10%เท่านั้น ที่สนใจกดดู
.
(วิธีให้คนหยุดดูเพิ่ม คือต้องปรับรูปปกและแคปชั่น)
.
(5) CVR (Conversion rate)
.
คือ เปอร์เซ็นของการที่ผู้สนใจกลายเป็นลูกค้า วิธีการคำนวณคือการนำ จำนวนลูกค้าใหม่ หารด้วยจำนวนการคลิ๊ก
ตัวอย่างเช่นมีลูกค้าใหม่เพิ่มขึ้น 100คน โดยมีการคลิ๊กเกิดขึ้น 1000ครั้ง ก็เท่ากับ 100 / 1000 = 10% เท่ากับว่า คนที่คลิ๊กเข้ามาดูโฆษณา ซื้อจริง10%ของทั้งหมด
.
(วิธีปิดการขาย คือต้องปรับSale Page และแคปชั่นขาย)
.
(6) CPA (Cost Per Action)
.
คือ การโฆษณาในรูปแบบที่คิดค่าใช้จ่ายตามจำนวนจริงจากผลลัพธ์ที่ได้ ไม่ว่าจะเป็นจำนวนการสมัครสมาชิกของผู้เข้าชม หรือจำนวนการซื้อสินค้าของกลุ่มเป้าหมาย CPA = ค่าโฆษณา / จำนวนลูกค้า
สมมุติค่าโฆษณา = 10000 บาท / ขายได้50คน
CPA สำหรับการโฆษณาเท่ากับ 10000/50 = 200 บาท นั่นคือลูกค้าซื้อ1คนต้องแลกมากับค่าโฆษณา200บาท และเมื่อได้ค่านี้มาแล้ว สมมุติสินค้าราคา 1000บาทต่อชิ้น ก็เท่ากับงบโฆษณาของคุณ 200/1000 = 0.2 x 100 = 20% ผลคือ คุณใช้งบการตลาด20% ของราคาสินค้า
.
(วิธีเพิ่มยอดขาย และลดต้นทุน คือต้องปรับSale Page และแคปชั่นขาย)
.
(7) ROI (Return On Investment)
.
คือ อัตราส่วนของผลตอบแทนในการลงทุน โดยการคำนวณเป็นสูตรสมการ ได้ดังนี้ (รายได้ – ค่าใช้จ่ายของสินค้าที่ขายไป) / ค่าใช้จ่ายของสินค้าที่ขายไป
สมมติว่าคุณมีผลิตภัณฑ์ต้นทุน 1,000 บาท และขายในราคา 2,000 บาท คุณขายได้ 6 ชิ้น จากการโฆษณาFacebook ดังนั้น ค่าใช้จ่ายรวมของคุณเท่ากับ 6,000 บาท และยอดขายรวมเท่ากับ 12,000 บาท สมมติว่าค่าลงโฆษณา Facebook ของคุณ 2,000 บาท รวมเป็นค่าใช้จ่ายทั้งหมด 8,000 บาท ROI ของคุณจะเท่ากับ
(12,000 – 8,000) / 8,000= 0.5 x 100 = 50%
ในตัวอย่างนี้ เท่ากับ คุณได้กำไร 50% ต่อการขาย
.
(วิธีเพิ่มยอดขาย และลดต้นทุน คือต้องปรับSale Page และแคปชั่นขาย)
.
.
และนี่คือการหา KPI เพื่อให้รู้ว่าการทำธุรกิจของคุณคุ้มค่าแค่ไหนกับการลงโฆษณาไป ซึ่งคุณจะเห็นว่า การจะเพิ่มยอดขายได้และลดต้นทุนได้ สิ่งที่สำคัญที่สุดในการชี้วัด นั่นคือคุณต้องมีสกิล “Content Marketing”
.
ลองคิดดูจะฟินแค่ไหน ถ้าคุณเพิ่มยอดขายได้จากคอนเท้นท์ที่โดนใจ และลดต้นทุนได้จากการมีคอนเท้นท์คุณภาพ เพราะสิ่งที่คุณจะได้รับแบบเต็มๆคือกำไรแบบเป็นกอบเป็นกำ ทั้งหมดนี้จึงการันตีเช่นเดียวกับนักการตลาดทั้งโลกว่า
.
“Content is King”ตลอดกาลและตลอดไป
.
.
เนื้อหาโดย AcTioN
AcTioN Taywagorn
ผู้เขียนบทความ“ทุกสิ่งทุกกอย่าง ในโลกนี้ย่อมมีการบ่งบอกความหมายในตัวของมันเสมอ อยู่ที่คุณจะตีความมันออกมาในรูปแบบไหน”
Popular Courses
฿12,900.00 ฿4,990.00 AcTioNContent Marketing
117 0ดิจิตอล360องศา ปั้นธุรกิจจาก0สู่100
56 0คอร์ส “เซียนธุรกิจ360องศา O2O
79 0คอร์ส สร้างโฆษณามืออาชีพ ให้ยอดขายกระจุย
260 0คอร์สสอนตัดต่อวีดีโอให้ปังจนใครๆก็อยากแชร์
458 0Web Design & SEO
221 0คอร์สสอนนำเข้า ส่งออกสินค้า
76 0บทความ แนะนำ
ความรู้ที่พร้อมเสริฟให้คุณ