Blog

64 คำศัพท์สำคัญที่คุณต้องรู้

หากคุณอยากเก่งด้าน Digital Marketing

.

หากคิดจะเรียนรู้กลยุทธ์ทางการตลาดทางดิจิทัล คุณต้องเข้าใจ คำศัพท์เหล่านี้ให้ได้เสียก่อน เพราะมันจะช่วยให้คุณกระจ่างแจ้งในการวางกลยุทธ์ทางDigital สามารถติดต่อสื่อสารได้ง่ายขึ้นกันในทีมและ ง่ายต่อการใช้ภาษาสื่อสารกับเอเจนซี่

.

64 คำศัพท์ Digital Marketing มีดังนี้

.

1. MSI (Meaningful Social Interactions)

.

คำนี้มาร์คใช้ในการประกาศลด Reach ครั้งล่าสุด ผมจึงนำขึ้นมาให้คุณได้รู้จัก ซึ่งมันลึกซึ้งกว่า Engagement คือ ไม่ใช่แค่กดอ่านผ่านๆซึ่งการกดแบบไม่ได้ตั้งใจมาร์คเรียกว่าPassive Experience คืออ่านดูแต่ไม่มีActionใดๆกับโพสต์ และไม่ใช่แค่การกดไลค์ธรรมดาแล้วเลื่อนผ่านๆ แต่ต้องมีการใช้เวลาอ่านหรือดูคอนเท้นท์นั้นๆด้วย โดยตัวชี้วัด MSI นี้ประกอบไปด้วย การแชร์ คอมเม้นท์ การส่งข้อความ และ การไลค์/Reaction (พวกหน้าโกรธ หน้าเลิฟ หัวเราะ) นั่นเอง โดยการแชร์ คอมเม้นท์ และส่งข้อความ จะมีน้ำหนักมากกว่าการไลค์และ Reaction ที่เลื่อนผ่านอย่างรวดเร็ว

.

2. Carousel 

.

เป็นโฆษณารูปแบบที่จะรวมเอารูปภาพหลายๆภาพมาไว้ในโฆษณาชิ้นเดียวกัน และผู้ใช้สามารถที่เลื่อนเพื่อดูภาพถัดไปได้ ชื่ออย่างเป็นทางการคือ Multi product Ads

.

3. Canvas

.

คือ การโพสต์ที่สามารถรวม ข้อความ,ภาพ,วิดีโอ,ลิงค์,ไว้ในโพสต์เดียว ซึ่ง Canvas ช่วยให้มีพื้นที่ในการเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับธุรกิจหรือแบรนด์มากกว่าโฆษณาทั่วไป สามารถนำรูปภาพและวิดีโอมารวมกันในรูปแบบต่างๆ เหมือนเว็บไซต์ก็ว่าได้ ซึ่งจะโหลดทันทีจากการคลิ๊ก แต่จะรองรับเฉพาะในมือถือเท่านั้น

.

4. Instant Articles

.

คือ บทความทันใจที่เชื่อมต่อกับเว็บไซต์ แต่คลิ๊กแล้วโหลดทันทีเร็วกว่าเว็บไซต์หลายสิบเท่า ในเนื้อหาจะมีโฆษณา ฝังตามไปด้วย ถ้ามองให้เห็นภาพ มันก็เหมือนกับ Google Display Network ของค่าย Google โดยผู้สร้างเนื้อหาจะได้รับผลตอบแทนหลังจากการแสดงโฆษณาจาก Facebook ง่ายๆคือช่องทางการสร้างรายได้เหมือน Google Adsense แต่ก่อนจะเป็นInstant Articles ได้ต้องผ่านการลงทะเบียนกับ Facebook ก่อนเท่านั้น

.

5. Relevance Score

.

คือ ตัวเลขการประเมินผลของโฆษณาว่ามีการตอบรับตรงกล่มเป้าหมายมากน้อยแค่ไหน ตัวเลขจะทำงานขึ้นโชว์ หลังจากโฆษณาได้แสดงให้คนเห็นมากกว่า 400 ครั้ง ระบบจะเริ่มทำการประเมิน Relevance Score ให้เราว่าโฆษณาเราประสบความสำเร็จกับผลตอบรับมากน้อยแค่ไหน ซึ่งจะมีคะแนนตั้งแต่ 1 – 10 โดยที่ 1 คือแย่มาก โฆษณาไม่ตรงกลุ่มเลย หรือ 10 คือดีสุดๆ ซึ่งหากมีคะแนนต่ำกว่า5 ผมแนะนำให้ปิดแล้วหากลุ่มเป้าหมายเพื่อยิงใหม่

.

6. Remarketingหรือ Retargeting

.

คือ การทำการโฆษณาแบบติดตามลูกค้า หรือกลุ่มเป้าหมาย ที่เคยเข้ามาที่เว็บไซต์ของคุณ ซึ่งโฆษณาเหล่านี้ จะติดตามแสดงผลย้ำๆในเว็บพันธมิตรของGoogle หรือ ตามไปยังFacebook หากเว็บนั้นติด Facebook Pixel ในซึ่งเป็นการย้ำลูกค้ากระตุ้นให้กลับมาซื้อสินค้าหรือบริการให้สำเร็จ

.

7. Paid Media 

.

สื่ออะไรก็ตามที่คุณต้องจ่ายเงินเพื่อลงโฆษณา อาทิเช่น Print Ads, TV Ads, Display Ads,Facebook Ads และ Google Ads เป็นต้น

.

8. Owned Media 

.

คือ ช่องทางการสื่อสาร หรือ แพลตฟอร์มที่เป็นของคุณ ของแบรนด์ หรือแบรนด์เป็นผู้สร้างขึ้นมาเพื่อใช้สื่อสารกับผู้บริโภคในรูปแบบต่างๆ อาทิเช่น Website, Retail Stores ( Online and Offline ), Blogs, Social Media Channels, Apps และ Magazines/ Brochures เป็นต้น

.

9. Earned Media 

.

เป็นสื่อที่ไม่ต้องเสียเงินซื้อ แต่เกิดจากการพูดถึงหรือบอกต่อเกี่ยวกับแบรนด์, สินค้า, บริการต่างๆ รวมไปจนถึงสิ่งที่เกี่ยวข้องกับแบรนด์ทุกช่องทาง หรือการ ไลค์ คอมเม้นท์ แชร์กับแบรนด์คุณ

.

10. Awareness

.

คือการรับรู้หรือการสร้างความรับรู้ ทำให้กลุ่มเป้าหมายของแบรนด์คุณรับรู้ถึงการมีอยู่ของคุณ อาจจะด้วยการโฆษณาตามเว็บไซต์ ตามเฟซบุ๊ค หรืออินสตาแกรม เป้าหมายเพื่อให้ลูกค้าจดจำแบรนด์ของคุณได้

.

11. Engagement

.

คือการสร้างปฏิสัมพันธ์ กับลูกค้าหรือกลุ่มเป้าหมาย อาจจะด้วยการสร้างคอนเทนท์ที่ดีเพื่อให้มีการกด ไลค์ กด แชร์ คอมเม้นท์ เพื่อต้องการให้กลุ่มเป้าหมายรู้สึกผูกพันธ์กับแบรนด์ของคุณ

.

12. Reach

.

คือ จำนวนคนที่เห็นโฆษณาหรือโพสต์ทั้งหมด ซึ่งReach จะแบ่งเป็น 2แบบ คือ Organic Reach และ Paid Reach

.

13. Organic Reach

.

คือ จำนวนคนที่เข้าถึงด้วยการมองเห็นโพสต์แบบไม่ซ้ำ ไม่ว่าจะเป็น ข้อความ กิจกรรม รูปภาพ หรือ วีดีโอ โดยไม่เสียเงิน

.

14. Paid Reach

.

คือ จำนวนคนที่เข้าถึงด้วยการมองเห็นโพสต์แบบไม่ซ้ำ ไม่ว่าจะเป็น ข้อความ กิจกรรม รูปภาพ หรือ วีดีโอ โดยเสียเงินโฆษณา

.

15. Impression

.

คือ จำนวนครั้งที่โฆษณาหรือโพสต์ของคุณมีการแสดงผลขึ้นมา โดยไม่สนใจว่าจะมี engagement เกิดขึ้น และอาจจะเห็นโฆษณาออนไลน์หรือโพสต์นั้นซ้ำอีกกี่ครั้งก็ได้ เช่น เห็นใน New feed ไปแล้วครั้งนึง พอมีคนแชร์ต่อ ๆ กันมา ก็สามารถเห็นได้อีก

.

16. Conversion

.

คือการที่กลุ่มเป้าหมายตอบสนองต่อคุณ ไม่ว่าจะเป็นโฆษณาที่คุณได้เผยแพร่ออกไป หรือคอนเทนท์ที่คุณลง ซึ่งไม่ว่ากลุ่มเป้าหมายจะตอบสนองด้วย การพูดถึง การมีส่วนร่วม การสมัครสมาชิก การเข้าเว็บไซต์ หรือการสั่งซื้อ

.

17. Frequency

.

คือ จำนวนครั้งทั้งหมดที่ผู้ใช้เห็นโฆษณาของเรา เช่นเห็นโฆษณาครั้งแรกตอน บ่ายโมงหลังจากนั้นผู้ใช้คนเดิมเห็นโฆษณาอีกครั้งตอน1ทุ่ม และมาเห็นอีกครั้งตอน 5 ทุ่ม กรณีนี้ Frequency จะเท่ากับ 3 คือเห็นโฆษณาทั้งหมด 3 ครั้ง ซึ่งในการคิด Frequency ของ Facebook จะนำเอา Impression มาหารด้วย Reach

.

18. Viral

.

คำนี้มาจากไวรัส คือการแพร่กระจาย หรือถูกบอกต่ออย่างรวดเร็วด้วยการแชร์ บอกต่อ ทำให้เข้าถึงผู้คนได้จำนวนมาก ไม่ว่าจะเป็นโพสต์หรือคลิป หากคลิปที่มีการถูกแชร์เป็นจำนวนมากมีการกระจายเข้าถึงผู้คนได้นับล้านสิ่งนี้จะเรียกว่าไวรัลคลิป

.

19. Content Marketing

.

คือ การสร้างการสื่อสารที่มี”คุณค่า” (Value) ที่ถูกส่งต่อไปยังผู้บริโภคหรือผู้เสพ เพื่อให้ผู้รับสื่อเกิดความสนใจตอบรับกลับมา ไม่ว่าจะเป็นในรูปแบบของEngagement หรือการสั่งซื้อ อาจมีคนงงว่าแล้วทำไมต้องสื่อสารให้ด้วยการให้คุณค่า ขอตอบแบบกำปั้นทุบดินง่ายๆ เพราะถ้าเป็นโพสต์กากๆไม่ได้ให้อะไรกับผู้เสพเลย แล้วใครที่ไหนจะไปสนใจโพสต์คุณ กลับกันหากคุณ นำเสนอคุณค่าที่กลุ่มเป้าหมายคุณจะได้รับ มันต้องมีคนโดนใจอย่างแน่นอน นี่ละคือ “Content Marketing”

.

20. Native Advertising 

.

คือการทำโฆษณา แบบไม่ให้ผู้เข้าชมรู้สึกตัวว่านี้คือการโฆษณา ไม่ได้ตั้งใจขายของมากเกินไป เมื่อดูจบ หรืออ่านจบถึงจะรู้สึกว่านี้คือโฆษณา

.

21. Advertainment 

.

คือการทำโฆษณาโดยแฝงไปกับความบันเทิง ซึ่งก็คือความสัมพันธ์ที่ส่งเสริมกันและกัน ของธุรกิจบันเทิง กับโฆษณา

.

22. Facebook Pixel

.

คือ การติดโค้ดที่ได้รับจาก Facebook ลงในเว็บไซต์เพื่อให้เกิดการ Retargeting

.

23. A/B Testing

.

คือ การทดสอบและเปรียบเทียบโฆษณา ด้วยการเปรียบกลุ่มเป้าหมายA กับB โฆษณาตัวไหนแสดงผลได้ดีกว่ากัน หรือ รูปAกับรูปB ผลตอบรับแบบไหนดีกว่ากัน ซึ่งการเปรียบเทียบ สามารถเปรียบได้มากมายนับ 100 ก็ยังได้ เพื่อเป้าหมายคือหาโฆษณาที่คุ้มค่าที่สุดและได้ผลตอบรับดีมากที่สุด โฟกัสมายิงแบบอัดเต็มๆ

.

24. Algorithm 

.

คือ ระบบประมวลผลและจัดอันดับการแสดงผลให้แก่ผู้รับสื่อ เช่น facebook จะส่งโพสต์ไปยังผู้ที่สนใจในเรื่องนั้นๆโดยการประเมินจากพฤติกรรมการเสพโพสต์หรือการมี Engagement กับโพสต์ที่ผ่านๆมา facebook ก็จะส่งโพสต์ที่คล้ายๆกันให้เห็นเพราะเชื่อว่าผู้เสพอาจต้องชอบ

.

25. Lead Generation

.

คือ คนที่มีความสนใจ “คนที่มีแนวโน้มจะมาเป็นลูกค้า” และ อยากได้รับรายละเอียดเพิ่มเติมก่อนที่จะตัดสินใจซื้อสินค้าหรือบริการ

.

26. Breakdown

.

คือการวิเคราะห์ โฆษณาดูแบบละเอียดว่า คนที่เรายิง Ads ไปหานั้น มีเพศอะไร อายุเท่าไหร่ อยู่จังหวัดไหน ใช้ Device อะไร หรือเห็น Ads เราเวลาไหน

.

27. Facebook Insights

.

คือที่รวมข้อมูลเกี่ยวกับการใช้งานของคนที่เข้ามาเป็น Fan และข้อมูลเกี่ยวกับเนื้อหาบนหน้า Page ในเชิงลึก เพื่อมาช่วยให้เจ้าของ Page มาพิจารณาว่าผู้ติดตามหรือลูกเพจ ส่วนใหญ่อายุเท่าไหร่ เพศอะไร อยู่จังหวัดไหน เห็นโพสต์ช่วงเวลาไหนมากที่สุด สนใจโพสต์ไหนมากที่สุด เป็นต้น

.

28. Bounce Rate 

.

คือ ตัวเลขจำนวนที่ผู้เข้าชมเว็บไซต์ เข้าไปเยี่ยมชมหน้าเว็บไซต์นั้นๆ และกดปิดออกไปทันที โดยปกติค่าตัวเลขสูงๆ แสดงถึงว่าคอนเทนท์ในเว็บไซต์ยังไม่น่าสนใจ ซึ่งสามารถดูควบคู่กับตัวเลข Time On Site ได้ว่าระยะเวลาที่มีผู้เข้ามาเยี่ยมชมเว็บไซต์ของเราใช้ระยะเวลานานเท่าไหร่

.

29. Boost post

.

คือแบบการทำโฆษณารูปแบบหนึ่งใน Facebook ที่ทำได้ง่ายจากปุ่มที่ Facebook โชว์ให้เลยใต้โพสต์นั้นๆ ข้อดีคือมีวิธีการที่ง่ายไม่ยุ่งยาก ข้อเสียคือ การเซ็ทกลุ่มเป้าหมายและรายละเอียดอื่นๆไม่เท่ากับ Ads Manager

.

30. Ads Manager

.

คือเครื่องมือที่เราใช้ในการสร้างและบริหารจัดการโฆษณาบน Facebook ที่มีการตั้งค่าได้อย่างละเอียด โดยสามารถเลือกแคมเปญโฆษณาได้มากมาย

.

31. Power editor 

.

คือเครื่องมือที่ใช้เพื่อสร้างและบริหารจัดการโฆษณาบน Facebook เช่นเดียวกับ Ads Manager แต่จะเสริมมาด้วย Features ที่ช่วยให้ทำโฆษณาได้ปริมาณมากได้อย่างสะดวกกว่า Ads Manager โดยผู้นิยมใช้จะเป็นเอเจนซี่และบริษัทที่ต้องทำโฆษณาปริมาณมากๆนับร้อยๆตัว

.

32. Budget 

.

คือ งบประมาณที่ใช้สำหรับลงโฆษณา คำนี้เอเจนซี่มักใช้ถามเสมอ ว่ามีBudget เท่าไหร่

.

33. Cost 

.

คือ ค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจากการลงโฆษณาในแคมเปญนั้นๆ

.

34. CPA (Cost Per Action) 

.

คือ การโฆษณาในรูปแบบที่คิดค่าใช้จ่ายตามจำนวนจริงจากผลลัพธ์ที่ได้ ไม่ว่าจะเป็นจำนวนการสมัครสมาชิกของผู้เข้าชม หรือจำนวนการซื้อสินค้าของกลุ่มเป้าหมาย CPA = ค่าโฆษณา / จำนวนลูกค้า

สมมุติค่าโฆษณา = 10000 บาท / ขายได้50คน

CPA สำหรับการโฆษณาเท่ากับ 10000/50 = 200 บาท นั่นคือลูกค้าซื้อ1คนต้องแลกมากับค่าโฆษณา200บาท และเมื่อได้ค่านี้มาแล้ว สมมุติสินค้าราคา 1000บาทต่อชิ้น ก็เท่ากับงบโฆษณาของคุณ 200/1000=0.2×100=20% ผลคือ คุณใช้งบการตลาด20% ของราคาสินค้า

.

35. CVR(Conversion rate) 

.

คือ เปอร์เซ็นของการที่ผู้สนใจกลายเป็นลูกค้า วิธีการคำนวณคือการนำ จำนวนลูกค้าใหม่ หารด้วยจำนวนการคลิ๊ก

ตัวอย่างเช่นมีลูกค้าใหม่เพิ่มขึ้น 100คน โดยมีการคลิ๊กเกิดขึ้น 1000ครั้ง ก็เท่ากับ 100 / 1000 = 10% เท่ากับว่า คนที่คลิ๊กเข้ามาดูโฆษณา ซื้อจริง10%ของทั้งหมด

.

36. CPC (Cost Per Click) 

.

คือ การคิดค่าโฆษณาต่อการคลิกโฆษณา 1 ครั้ง โดยไม่สนใจว่าโฆษณานั้นได้แสดงผลต่อผู้ชมไปแล้วกี่ครั้ง ตัวอย่างเช่น คุณลงงบไป1หมื่น และมีการคลิ๊กโฆษณา1พันครั้ง วิธีคำนวนคือ 10000/1000 = 10 สรุปการลงทุนครั้งนี้คือ คุณงต้องใช้เงิน10 บาท จึงจะได้ 1 การคลิ๊กนั่นเอง

.

37. CPM (Cost Per Thousand Impressions)

.

คือ การคิดค่าโฆษณาต่อการแสดงโฆษณาออนไลน์ 1,000 ครั้ง โดยที่ผู้ลงโฆษณาจะจ่ายเงินตามจำนวนครั้งที่แสดงผลโฆษณาเท่านั้น

.

38. CPO (Cost Per Order) 

.

คือ ต้นทุนการโฆษณาต่อการขาย

.

39. CTR (Click Through Rate) 

.

คือ อัตราส่วนที่บ่งบอกว่าผู้เข้าชมหรือกลุ่มเป้าหมายของเรานั้น คลิกโฆษณาของเรามากน้อยแค่ไหน ไว้สำหรับประเมิน KPI ดัวอย่างเช่น มีคนเห็นแคมเปญโฆษณาคุณ 100,000 คน มีคนคลิก 10,000 คน

Click Through Rate(CTR) = 10,000 / 100,000 = 0.1 * 100 = 10% ก็เท่ากับว่าโฆษณาของคุณถูกเลื่อนผ่าน90% มีเพียง 10%เท่านั้น ที่สนใจกดดู

.

40. CTA (Call To Action) 

.

คือ ปุ่มกดหรือป้ายแบนเนอร์ต่างๆ ใช้เพื่อการกระตุ้นดึงดูดใจผู้เข้าชมให้ คลิกโฆษณาเพื่อทำการซื้อสินค้า สมัครสมาชิก รวมถึงอ่านข้อมูลข่าวสาร โดยวิธีการที่น่าสนใจ

.

41. KPI (Key Performance Indicator) 

.

คือดัชนีชี้วัดความสำเร็จของงาน โดยจะแสดงรายละเอียดของงานที่สำเร็จ หรือไม่สำเร็จออกมา เพื่อจะได้วิเคราะห์ถึงสามเหตุ และนำมาปรับแก้ไขและพัฒนาให้ดียิ่งๆขึ้นไป

.

42. Landing Page 

.

คือ หน้าเว็บไซต์ที่เราต้องการกำหนดไว้ในการลงโฆษณา หรือแคปเปญดิจิทัลออนไลน์

.

43. Pageview 

.

คือ จำนวนการเปิดหน้าเว็บไซต์ของคุณ ซึ่งถ้านำไปหารด้วยจำนวนคนเข้าชมเว็บไซต์ก็จะบอกได้ว่าคนที่มาชมเว็บคุณมีการเปิดชมเว็บโดยเฉลี่ยกี่ครั้ง

.

44. ROI (Return On Investment) 

.

คือ อัตราส่วนของผลตอบแทนในการลงทุน โดยการคำนวณเป็นสูตรสมการ ได้ดังนี้ (รายได้ – ค่าใช้จ่ายของสินค้าที่ขายไป) / ค่าใช้จ่ายของสินค้าที่ขายไป

สมมติว่าคุณมีผลิตภัณฑ์ต้นทุน 3,000 บาท และขายในราคา 6,000 บาท คุณขายได้ 6 ชิ้น จากการโฆษณาผลิตภัณฑ์บน AdWords ดังนั้น ค่าใช้จ่ายรวมของคุณเท่ากับ 18,000 บาท และยอดขายรวมเท่ากับ 36,000 บาท สมมติว่าค่าใช้จ่าย AdWords ของคุณ 6,000 บาท รวมเป็นค่าใช้จ่ายทั้งหมด 24,000 บาท ROI ของคุณจะเท่ากับ

(36,000 – 24,000) / 24,000= 12,000 / 24,000= 50%

ในตัวอย่างนี้ คุณจะได้รับผลตอบแทนจากการลงทุน 50% โดยทุกๆ 30 บาทที่คุณใช้ไปจะให้ผลตอบแทน 45 บาท

.

45. Traffic 

.

คือ ปริมาณคนเข้าชมเว็บไซต์ หรือเรียกว่า Visitor ที่เข้ามาดูสินค้าหรือบริการ อาจจะเป็นลูกค้าทั้งใหม่เก่าบนเว็บไซต์ของคุณ

.

46. UIP ย่อมาจาก Unique Internet Protocol 

.

คือการนับจำนวนคนเข้าชมเว็บไซต์ของเราโดยที่หมายเลข UIP ไม่ซ้ำกัน

.

47. Keyword 

.

คือ คำสำคัญในการค้นหาผ่านกูเกิล และเป็นคำที่คุณสามารถกำหนดขึ้นมาได้ เพื่อให้บทความ หรือเว็บไซต์ของคุณถูกนั้นถูกค้นพบได้ง่าย เช่น คุณทำธุรกิจรถเช่าที่ชลบุรี ในเว็บไซต์คุณ ต้องมีคีย์เวิร์ด “บริการรถเช่าชลบุรี”อยู่ด้วยจึงจะค้นเจอ

.

48. SEO (Search engine optimization)

.

คือการทำให้ Keyword ที่อยู่เว็บไซต์ของคุณ ติดอับดับต้นๆ ของการค้นหาผ่าน เสิร์ชเอ็นจิ้นให้ได้

.

49. On-Site Off-Site

.

คือเทคนิคการทำ SEO ถ้าOn-Site ต้องมี Keyword ที่ต้องการค้นหาเด่นและหนาแน่นพอ และหากเป็น Off-Site ต้องมี Backlinks ที่ดี คือการติดลิ้งค์ของเว็บคุณไว้ที่เว็บมีคุณภาพ เพื่อส่งผลให้เกิดการจัดอันดับSEO ในตำแหน่งต้นๆนั้นเอง

.

50. SEM (Search Engine Marketing)

.

คือ การทำการตลาดผ่านเครื่องมือค้นหาบนอินเทอร์เน็ต

.

51. Google Adword 

.

คือ เครื่องมือสำหรับการทำโฆษณาบนกูเกิล ให้เว็บไซต์ของคุณอยู่ด้านบนสุดของการค้นหาบนกูเกิล โดยค่าบริการจะคิดก็ต่อเมื่อมีคนคลิกเข้าชมเว็บไซต์ของคุณเท่านั้น

.

52. Google Analytic 

.

คือเครื่องมือของกูเกิล ที่ใช้สำหรับการเก็บและวิเคราะห์ข้อมูล ภายในเว็บไซต์ของคุณ โดยสามารถดูว่ามีคนเข้าชมเว็บไซต์ของคุณเป็นจำนวนเท่าไหร่ มาจากช่องทางไหนบ้าง ระยะเวลาที่อยู่บนเว็บไซต์ของคุณนานเท่าไหร่ ซึ่งข้อมูลส่วนนี้จะเป็นประโยชน์ในการพัฒนาธุรกิจของคุณเป็นอย่างมาก

.

53. Google Adsense 

.

เป็นเครื่องสำหรับกระจายสื่อโฆษณาของกูเกิล ไปยังเว็บไซต์ต่างๆ เพื่อเปิดโอกาสสำหรับการสร้างรายได้ โดยการนำโฆษณาจากกูเกิล มาใส่ไว้ในเว็บของคุณ เมื่อมีคนคลิกที่โฆษณาที่คุณนำมาไวในเว็บ คุณก็จะได้รับเงินในส่วนนั้น

.

54. PPC (Pay per click)

.

คือ การซื้อโฆษณาบน google ให้ติดอันดับต้นๆ หรือ ราคาซื้อโฆษณาต่อ 1 การคลิก

.

55. Meta Tag

.

คือ รหัสที่เอาไว้ในเว็บไซต์ เพื่อให้ Search Engine สามารถเชื่อมต่อการค้นหาได้มากขึ้น

.

56. Bitly

.

คือ แพลตฟอร์มที่มีไว้สำหรับย่อ URL ให้สั้นกระชับ เหมาะกับการแชร์

.

57. Growth Hacking 

.

คือการหาเทคนิคใหม่ๆ มาทำให้ธุรกิจเติบโตอย่างรวดเร็ว ซึ่งอยู่ในรูปแบบของการคิดวิเคราะห์ หาวิธีการที่สร้างสรรค์ แปลกใหม่ เพื่อทำให้เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้ง่ายขึ้น

.

58. Showrooming 

.

คือพฤติกรรมการเลือกชมสินค้าหน้าร้าน แต่จะไปซื้อผ่านช่องทางออนไลน์

.

59. Infographic (Information Graphic) 

.

คือ ภาพกราฟฟิกที่บ่งบอกถึงข้อมูล อาจจะเป็นสถิติ เกร็ดความรู้ หรือเรียกได้ว่าคือข้อมูลอย่างย่อเพื่อทำให้เกิดความเข้าใจที่ง่าย เพียงแค่กวาดตามอง

.

60. Inbound Marketing

.

คือ กลยุทธ์การตลาดรูปแบบใหม่ เน้นการดึงดูดลูกค้าให้เข้ามาหาเอง คือการสร้างคุณค่าให้แบรนด์แบบที่ใครๆก็วิ่งหานั่นเอง ซึ่งจะใช้กลยุทธ์ดักคอนเท้นท์ด้วยการทำSEO ให้ติดคำค้นหา เป็นต้น

.

61. Neuromarketing

.

คือ “การตลาดเซลล์สมองมนุษย์” โดยการนำระบบประสาทวิทยามาวิเคราะห์พฤติกรรมผู้บริโภค โดยเจาะจงลงไปที่การทำงานของสมองในแต่ละส่วนที่มีผลต่อการตัดสินใจ เพื่อนำไปใช้เป็นแนวทางในการวางแผนธุรกิจ

.

62. Storytelling

.

คือ การสร้างคอนเท้นท์ด้วยการผูกเรื่องราวให้มีที่มาที่ไป เป็นเรื่องเล่าโดยเน้นกระตุ้นอารมณ์ทำให้ผู้ชมมีส่วนร่วมคล้อยตาม เช่นโฆษณาเมืองไทยประกันชีวิตเป็นต้น

.

63. Affiliate Marketing

.

แถมให้อีก1ข้อละกัน พอดีมีคนพึ่งถามข้อนี้เข้ามาพอดี ซึ่งความหมายของมันคือ การเป็นนายหน้าตัวแทนขายสินค้า เช่น การนำสินค้าจากเว็บไซต์ต่างๆ มาขายผ่านเว็บไซต์ของตัวเอง และเมื่อขายสินค้าได้ก็จะได้รับรายได้ (Commission) จากการขายสินค้านั้น

.

64. Advertising

.

สื่อโฆษณา ก็คือเครื่องมือทางการตลาดที่มีบทบาทหรือมีหน้าที่นำข้อมูลข่าวสารเหล่านั้น ไปยังลูกค้าและกลุ่มบุคคลเป้าหมาย โดยการใช้สื่อโฆษณานั้นๆจะเกิดประโยชน์หรือประสบความสำเร็จหรือไม่ ขึ้นอยู่กับการเลือกใช้สื่อแต่ละชนิดอย่างเหมาะสม เช่น Facebook ads, Google Adwords

.

.

และนี่คือ64 คำศัพท์ที่คุณต้องรู้ หากอยากเป็นเก่งด้าน Digital Marketing

.

.

.

เนื้อหาโดย AcTioN

AcTioN Taywagorn

AcTioN Taywagorn

ผู้เขียนบทความ

“ทุกสิ่งทุกกอย่าง ในโลกนี้ย่อมมีการบ่งบอกความหมายในตัวของมันเสมอ อยู่ที่คุณจะตีความมันออกมาในรูปแบบไหน”

Popular Courses

content marketing ฿12,900.00 ฿4,990.00 AcTioN AcTioN

Content Marketing

117 0 ฿12,900.00 ฿4,990.00 AcTioN AcTioN

ดิจิตอล360องศา ปั้นธุรกิจจาก0สู่100

56 0 ฿12,990.00 ฿4,990.00 AcTioN AcTioN

คอร์ส “เซียนธุรกิจ360องศา O2O

79 0 ฿5,990.00 ฿1,990.00 AcTioN AcTioN

คอร์ส สร้างโฆษณามืออาชีพ ให้ยอดขายกระจุย

260 0 ฿2,900.00 ฿900.00 AcTioN AcTioN

คอร์สสอนตัดต่อวีดีโอให้ปังจนใครๆก็อยากแชร์

458 0 ฿7,990.00 ฿2,990.00 AcTioN AcTioN

Web Design & SEO

221 0 ฿4,990.00 ฿1,990.00 AcTioN AcTioN

คอร์สสอนนำเข้า ส่งออกสินค้า

76 0

บทความ แนะนำ

ความรู้ที่พร้อมเสริฟให้คุณ