Blog

จุดยั่งยืนของธุรกิจ คือต้องทำให้ลูกค้าเกิดเป็นวัฏจักรการซื้ออย่างไม่มีที่สิ้นสุดขึ้นให้ได้ และถ้าเกิดได้จนวนลูปไปเรื่อยๆเมื่อไหร่ เมื่อนั้นละคือความสำเร็จอย่างยั่งยืน ซึ่งผมได้คิดค้นกลยุทธ์แห่งความยั่งยืนนี้ขึ้นมา เรียกว่า “AARRR Cycle” ซึ่งจะประกอบด้วย

.

A: Awareness การทำให้สินค้าเป็นที่รู้จัก

A: Activation การกระตุ้นให้เกิดการซื้อ

R: Retention การรักษาฐานลูกค้าที่ซื้อไว้

R: Return การทำให้ลูกค้าเกิดการซื้อซ้ำ

R: Referral การทำให้ลูกค้าที่ซื้อเกิดการบอกต่อ

.

โดยเริ่มที่ A แรก ได้แก่

.

A: #Awareness การทำให้สินค้าเป็นที่รู้จัก

.

คือการทำการตลาดเพื่อให้เกิดการเข้าถึงสู่ลูกค้าเป้าหมาย ให้เป็นที่รู้จัก ซึ่งผมจะแบ่งเป็น ออนไลน์และ ออฟไลน์

.

Tactics Online :

.

ใช้งบโฆษณาผ่าน Facebook Ads เพื่อทำการตลาดเชิงรุกยิงใส่เข้าหาคน หรือหากเป็นการตลาดเชิงรับ ที่รอคนเข้าหา ก็ต้องใช้ Google Adwords ที่ต้องเสียเงินค่าโฆษณา แต่หากไม่อยากเสียเงิน ก็ต้องทำ SEO เพื่อให้ติดหน้าค้นหาในGoogle ด้วยตนเอง นอกจากนั้นยังสามารถขายผ่านตัวแทนออนไลน์ ด้วยการรับสมัครตัวแทนเพื่อให้เกิดการกระจายต่อๆกันไปเป็นทอดๆ และยังมี Market Place เช่น ฝากขายใน Lazada Shopee 11Street เป็นต้น

.

Skill Online :

.

ซึ่งทักษะการตลาดออนไลน์ที่ต้องมีคือ

.

1 ต้องมีทักษะการยิงโฆษณา Facebook ที่สามารถทำได้อย่างตรงกลุ่มเป้าหมายได้มากที่สุด ด้วยงบที่คุ้มค่าที่สุด

.

2 ต้องมีทักษะ Google Adwords ที่สามารถรู้หลักการวิเคราะห์ประเมินKey words และใช้เครื่องมือได้อย่างเข้าใจ

.

3 ต้องมีทักษะ SEO โดยต้องเข้าใจหลักการที่จะทำให้ Key words ที่ต้องการติดหน้าการค้นหาโดยไม่เสียเงิน

.

4 ต้องมีทักษะการขยายตัวแทนและบริหารทีมเพื่อให้เกิดการขยายเป็นเครือข่าย คือรู้เทคนิคและกลยุทธ์ที่ก่อให้เกิดการขยายตัวแทนแบบทรงพลัง

.

5 ต้องมีทักษะการนำสินค้าเข้าในMarket Place คือต้องรู้วิธีการเงื่อนไขปฏิบัติและข้อตกลงเป็นอย่างดี

.

6 ต้องมีทักษะ Content Marketing ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญมากๆเป็นจุดชี้ขาดว่าลูกค้าจะสนใจหรือเลื่อนผ่าน ฉะนั้นหากคิดจะสำเร็จต้องมีสกิลด้านการออกแบบรูป ออกแบบวีดีโอที่น่าสนใจ มีการเขียนแคปชั่นที่ทำให้น่าติดตาม ทั้งหมดนี้จำเป็นมากๆ

.

7 ต้องมีทักษะการสร้างแบรนด์ ที่ทำให้ลูกค้าเกิดภาพจำขึ้นมาได้

.

Tactics Offline :

.

ใช้การโฆษณา ประชาสัมพันธ์ ผ่านการจัดกิจกรรม(Event)ต่างๆ โดยมีสื่อเช่นโบรชัวส์ ป้าย หรือที่เรียกว่าอุปกรณ์ส่งเสริมการขาย (P.O.P หรือ Point of Purchase) พนักงานขาย(Product Consultant) สินค้าทดลองใช้(Sampling) เป็นต้น นอกจากนั้น ออฟไลน์ยังสามารถสร้างการรู้จักได้ทาง Cable TV Catalog หรือจากหน้าร้านโดยตรง เช่นใน Modern Trade เป็นต้น ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นส่วนช่วยให้เกิดการเข้าถึงได้ทั้งสิ้น

.

Skill Offline :

.

ซึ่งทักษะการตลาดออฟไลน์ที่ต้องมีคือ

.

1 ต้องมีทักษะการออกบูธแสดงสินค้า ต้องรู้ว่าการออกแบบบูธหรืองานต้องมีอุปกรณ์ที่ใช้ในการส่งเสริมการขายอะไรบ้าง และต้องมีเครื่องมือสนับสนุนอะไร

.

2 ต้องมีทักษะการติดต่อสถานที่เพื่อออกบูธ ไม่ว่าจะเป็นเงื่อนไขและการติดต่อ งาน Exhibition ไม่ว่าจะเป็นที่เมืองทองหรือไบเทค หรืองานอีเว้นท์ตามห้างต่างๆต้องรู้ว่าต้องติดต่อส่วนไหนและมีเงื่อนไขอะไร

.

3 ต้องมีทักษะการเปิดการขายเพื่อนำเสนอสินค้า การที่จะทำให้ลูกกค้ารู้จักได้นั้นต้อง เปิดการขายได้ เพื่อดึงลูกค้าให้เข้ามาในการนำเสนอ

.

4 ต้องมีทักษะการนำสินค้าเข้าห้างModern Trade รู้วิธีการนำเสนอพรีเซ้นท์อย่างโดนใจ ที่สามารถทำให้สินค้าผ่านการคัดเลือกลงในห้างได้ รู้วิธีการเจรจาต่อรองเพื่อให้ได้ค่า GP และค่าเปิดหน้าบัญชีที่ต่ำ รู้วิธีการตั้งราคาที่สามารถทำกำไรได้หลังจากถูกห้างหักGP (Gross Profit) Vat และ DC (Delivery Center) แล้ว

.

5 ทักษะการขยายช่องทางอื่นๆ เช่นรู้วิธีการนำเสนอเข้า Cable TV หรือ Catalog เช่น 7 Catalog หรือ Friday Catalog

.

และนี่คือ แท็กติกและทักษะที่จำเป็นต้องมีในด่าน A: Awareness คราวนี้มาที่ A ต่อไปกัน ได้แก่

.

.

A: #Activation การกระตุ้นให้เกิดการซื้อ

.

คือ เมื่อผ่านด่านAwareness ที่ทำให้รู้จักมาแล้ว ต่อมา ต้องทำให้เกิดการซื้อขึ้น

.

Tactics Online :

.

จุดซื้อของออนไลน์จะต้องประกอบไปด้วย

.

1 สิ่งแรกสินค้าต้องดีและเป็นที่ต้องการของผู้บริโภค

.

2 เมื่อสินค้าดีแล้ว ต้องทำให้เข้าถึงลูกค้าให้เป็นที่รู้จักด้วยการตลาดออนไลน์ ซึ่งผมนำเสนอไปแล้วใน A: Awareness

.

3 และการทำให้ก่อเกิดจุดซื้อขึ้นมาเกิดจากการเขียน แคปชั่นที่ทำให้คนหยุดอ่านหยุดดูได้ เมื่อหยุดแล้วต้องมีการเขียน Sale page ที่เป็นตัวกระตุ้นให้เกิดการซื้อ ซึ่งจุดจะซื้อหรือไม่อยู่ที่ การนำเสนอเพื่อตอบโจทย์ลูกค้าให้เค้าเห็นความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นให้ได้ เช่น เปลี่ยนแปลงด้วยการแก้ปัญหา Pain point ให้ลูกค้าเห็นว่าเค้ากำลังมีปัญหาเหล่านี้อยู่ใช่ไหม จากนั้นให้เสนอด้วย Solution หรือทำให้ชีวิตเค้าดีขึ้นกว่าเดิมด้วย Gain Point เป็นต้น

.

โดยจุดซื้อหลักๆคุณต้องตอบข้อโต้แย้งเหล่านี้ได้

.

ทำไมลูกค้าต้องซื้อสินค้าของคุณ?

นั่นหมายถึงคุณต้องรู้ว่าจุดขายของคุณตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าเรื่องอะไรได้บ้าง โดยต้องลิสต์สาเหตุที่ต้องซื้อมาให้ได้ทั้งหมด เมื่อได้แล้วก็ให้ใช้จุดขายที่สำคัญหลักๆ นำมาเป็นตัวชูโรง นำเสนอเป็นคอนเท้นท์ในการประชาสัมพันธ์ และโฆษณา

.

ทำไมลูกค้าถึงไม่ซื้อสินค้าคุณ?

นั่นคือต้องรู้ว่าสาเหตุอะไรที่ลูกค้าไม่ซื้อสินค้าของคุณ โดยต้องลิสต์สาเหตุที่ไม่ซื้อมาให้ได้ทั้งหมด และเมื่อรู้สาเหตุจะได้มาปรับแก้ไขพัฒนาเพื่อมาเปลี่ยนจุดไม่ซื้อให้เป็นจุดซื้อให้ได้

.

และเมื่อคุณทำได้ตามนี้ ยังไงคุณก็ต้องขายได้อย่างแน่นอน

.

4 กระตุ้นการตัดสินใจซื้อด้วยSale Promotion ซึ่งประเภทของการทำโปรโมชั่นแบ่งออกเป็น 4 รูปแบบหลักๆด้วยกัน ได้แก่

.

(4.1) ลด (Discount)

.

เป็นการลดจากราคาปกติ มีทั้ง ลดเป็น % เช่น ลด 20% หรือ50% จากราคาป้ายก็ว่าไป นอกจากนี้ก็มีเป็นคูปองส่วนลด เช่น เมื่อซื้อครบ1000 รับทันทีคูปองลด 100 บาท

.

วัตถุประสงค์ของการลดราคา นอกจากเพื่อช่วยเพิ่มยอดขายในรุ่นที่ขายไม่ดีแล้ว ยังเป็นการกระตุ้นให้คนซื้อได้อีกด้วย (และกลยุทธ์นี้เหมาะกับA: Activation การกระตุ้นให้เกิดการซื้อ)

.

(4.2) แลก (Exchange)

.

เห็นตัวอย่างชัดเลยคือแสตมป์ 7-11 ที่เมื่อซื้อของครบตามเพดานที่กำหนดจะได้รับเป็นแสตมป์ เพื่อสามารถนำแสตมป์ไปแลกซื้อ หรือใช้เป็นส่วนลดเงินสดในการซื้อครั้งต่อไป หรือบัตรโลตัส บิ๊กซี หรือท็อป หรือแม้แต่บัตรเครดิต ที่ทุกการใช้งานจะได้แต้มสะสม (Bonus Points) ซึ่งเมื่อสะสมแต้มจนถึงเพดานที่กำหนด สามารถแลกซื้อหรือเปลี่ยนคะแนนเป็นส่วนลดได้ รวมถึงร้านกาแฟ หรือร้านอินเตอร์เนตที่มีบัตรสะสมแต้ม สะสมครบก็นำมาแลกกาแฟ หรือแลกเป็นชั่วโมงเน็ตเพิ่มได้ เป็นต้น

.

วัตถุประสงค์ของกลยุทธ์การแลกเพื่อให้เกิดการซื้อซ้ำ ณสถานที่เดิม แบรนด์เดิม ไม่ให้เปลี่ยนไปซื้อกับเจ้าอื่น (กลยุทธ์นี้เหมาะกับ R: Return การทำให้ลูกค้าเกิดการซื้อซ้ำ)

.

(4.3) แจก (Lucky Draw)

.

กลยุทธ์นี้ใช้ได้ดีกับคนไทย เพราะพฤติกรรมคนไทยชอบลุ้นโชคลุ้นหวังรวยจากดวง จึงทำให้แบรนด์ต่างๆที่เห็นช่องของพฤติกรรมยอดนิยมนี้ จึงจัดโปรนี้ขึ้นมา เช่นการส่งลุ้นชิงโชค โดยการส่ง SMS เพื่อลุ้นของรางวัล อย่างแบรนด์ อิชิตัน หรือโออิชิ

.

ส่วนในออนไลน์ เทคนิคเช่นให้ทายเลขท้าย 3ตัว ในโพสต์นี้ใครถูกรับของรางวัลไปเลยเป็นต้น หรืออาจจัดกิจกรรมเล่นเกมส์ทายปัญหาอะไรก็ว่าไป หรือช่วงนี้ที่ฮิตๆก็คือไลฟ์แจกทองเพื่อเรียกคนให้เข้ามาฟังไลฟ์กันเยอะๆ อะไรพวกนี้เป็นต้น โดยสร้างเงื่อนไขขึ้นมาคือ ผู้มีสิทธิ์รับของรางวัลต้อง กดไลค์เพจ กดแชร์ หรือกดเชิญเพื่อนก่อนเท่านั้น

.

โดยวัตถุประสงค์ของออฟไลน์มีขึ้นเพื่อ ให้เกิดการซื้ออย่างต่อเนื่อง หรือเกิดการซื้อในปริมาณที่มากขึ้น โดยใช้ความอยากได้อยากมีอยากรวยมาเป็นปัจจัยในการดึงให้ซื้อเพิ่ม ซึ่งกลยุทธ์นี้ผมมองว่า ใช้ได้ดีกับสินค้า Mass ที่มีราคาต่ำ ที่คนทุกระดับสามารถมีกำลังซื้อได้ เพราะ Positioning ของกลุ่มคนที่ชอบลุ้นจะเป็นผู้มีรายได้ระดับล่างเป็นส่วนใหญ่ ใครมี Brand Positioning เป็นกลุ่มลูกค้าระดับล่างต้องลองเล่นดู แต่หากเป็นสินค้าเกรดู้ใช้ระดับสูงไม่แนะนำ (กลยุทธ์นี้เหมาะกับ A: Activation การกระตุ้นให้เกิดการซื้อ และ R: Return การทำให้ลูกค้าเกิดการซื้อซ้ำ)

.

ส่วนวัตถุประสงค์ของออนไลน์ก็เพื่อ สร้างEngagement ให้แบรนด์สินค้าเป็นที่รู้จัก แน่นอนการแชร์ ทำให้คนเห็นมากขึ้น เมื่อคนเห็นว่ามีการเล่นเกมส์อะไรแบบนี้ก็จะแห่มาแชร์ต่อๆกันไปอีกเป็นทอดๆ จนทำให้บางไลฟ์ที่แจกทองมีคนดูนับหมื่นก็มีให้เห็นมามากมาย แน่นอนหากเป็นที่รู้จักเอย่างกว้างขวางด้วยการแชร์กันอย่างมากมาย นอกจากจะไม่ต้องเสียเงินกับค่าโฆษณาแล้ว การเข้าถึงคนเยอะก็มีโอกาสเจอลูกค้าตัวจริงที่อยากซื้อสินค้าจริงๆได้เช่นกัน นอกจากนั้นของแถมยังสามารถเพิ่มไลค์เพจได้ทางอ้อมด้วย (กลยุทธ์วิธีนี้จึงเหมาะกับ A แรก คือ Awareness)

.

(4.4) แถม (Premium)

.

ต้องยอมรับว่าของแถมเป็นอีกกลยุทธ์ที่มีผลต่อการกระตุ้นสมองได้สูงที่สุดก็ว่าได้ เพราะของแถมคือเห็นเป็นรูปธรรมที่จับต้องได้อยู่ต่อหน้า สมองจึงถูกกระตุ้นให้ไม่อยากพลาดโอกาสดีๆที่อยู่ตรงหน้า ของแถมจึงมีผลต่อหลัก Neuromarketing เป็นอย่างดี

.

ซึ่งของแถมสามารถทำได้หลายรูปแบบ เช่น การแถมเมื่อซื้อครบตามจำนวนที่กำหนด เมื่อใช้บริการครบ หรือเมื่ออยู่ในช่วงโปรโมชั่นพิเศษ นอกจากนั้นอาจมีการแถมเช่น ซื้อ 2 แถม 1 หรือ ซื้อ 1 แถม 1(เทคนิคคือตัวแถมคือตัวที่ขายไม่ดี ที่เก็บไว้ เมื่อหมดอายุก็ต้องทิ้ง ก็ให้เอามาแถมซะ ดีกว่าทิ้งเปล่า) รวมถึงการแถมเงินคืน (Cash Back) เมื่อซื้อครบ ก็แถมเงินคืน เป็นต้น การแถมก็เป็นโปรโมชั่นอีกหนึ่งอย่างที่ถูกใจคนไทยเป็นอย่างดี มีคนมากมายที่ซื้อเพราะของแถมโดยตรง ทั้งที่แบรนด์นั้นอาจไม่เคยรู้จักมาก่อน แต่เมื่อมองแล้วคุ้มค่าก็จะซื้อสิ่งที่คิดว่าคุ้มที่สุด (กลยุทธ์นี้เหมาะกับA: Activation การกระตุ้นให้เกิดการซื้อ และ R: Return การทำให้ลูกค้าเกิดการซื้อซ้ำ)

.

และนี่ละคือSale Promotion ที่ประกอบไปด้วย 4วิธีการหลักๆ อันได้แก่ ลด แลก แจก และแถม ซึ่งแต่ละรูปแบบใช้ในช่วงความต้องการที่แตกต่างกัน ผมได้ลงไว้แล้วว่า Sale Promotion แบบไหนเหมาะกับกลยุทธ์ในขั้นตอนไหน ถ้าคุณเอามาใช้ได้อย่างเหมาะสมแบรนด์คุณปังแน่นอน

.

Skill Online :

.

การที่จะทำให้ลูกค้าเกิดA: Activation หรือการกระตุ้นให้เกิดการซื้อขึ้นมาได้นั้นทักษะการตลาดออนไลน์ที่ต้องมีคือ

.

1 สินค้าต้องดีจริงและต้องตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าเป้าหมายได้ ฉะนั้นต้องมีทักษะด้าน การทำวิจัยผลิตภัณฑ์ (Product Research) การวิจัยความต้องการของลูกค้า(Consumer Research) การวิจัยตลาด(Market Research) ทักษะจุดนี้สำคัญมากๆ เพราะหากคุณผ่านกระบวนการResearch อย่างเข้มข้นมาได้นั่นหมายถึงสินค้าคุณพร้อมแล้วที่จะสำเร็จ (ตัวอย่างการทำ Research ขั้นพื้นฐาน หาดูได้จากบทความศาสตร์พระราชา ตอนที่2 และตอนที่3 ได้เลย)

.

2 ซึ่งการกระตุ้นให้เกิดการซื้อ จุดสำเร็จต้องอาศัยทักษะด้าน Content Marketing มีทักษะการเขียน Sale page ที่สามารถกระชากใจลูกค้าให้ซื้อได้ ต้องมีคลิปหรือรปที่ดูเป็นมืออาชีพน่าเชื่อถือ

.

3 และต้องมีทักษะด้านการกำหนดกลยุทธ์ Sale Promotion ที่เป็นตัวกระตุ้นอีกชั้น เพื่อให้ตัดสินใจซื้อได้ง่ายขึ้น

.

Tactics Offline :

.

หากเป็นออฟไลน์ นอกจากสินค้าต้องตอบโจทย์แล้ว ต้องอาศัยตัวPC(Product Consultant) ที่รู้ความต้องการของลูกค้าได้ดีและสามารถนำเสนอสินค้าเพื่อConnect เชื่อมต่อกับความต้องการให้ได้ โดยอาจมี Promotion มาช่วยกระตุ้นอีกชั้นได้ยิ่งดี

.

Skill Offline :

.

1 ต้องมีทักษะ Research เช่นเดียวกับออนไลน์

.

2 ต้องมีทักษะในการปิดการขาย ต้องรู้จิตวิทยาในการปิดการขายได้เป็นอย่างดี ซึ่งทักษะนี้ผมมีสอนใน ศาสตร์ปิดการขายด้วยจริต6 หาอ่านได้เลยในเพจ

.

3 ต้องมีทักษะด้านกำหนด Sale Promotion เพื่อเป็นการต่อรองเพื่อปิดการขายอีก1ชั้น

.

และนี่คือ แท็กติกและทักษะที่จำเป็นต้องมีในด่าน A : Activation การกระตุ้นให้เกิดการซื้อ คราวนี้มาที่ R ต่อไปกัน ได้แก่

.

R: #Retention การรักษาฐานลูกค้าที่ซื้อไว้

.

จากการศึกษาพบว่า ต้นทุนในการหาลูกค้าใหม่สูงกว่าต้นทุนในการรักษาลูกค้าเก่าประมาณ 5 – 7 เท่า ฉะนั้นหากสามารถรักษาความภักดีของผู้บริโภคเพิ่มได้ 5% จะสามารถเพิ่มกำไรให้องค์กรได้ 95% ตลอดช่วงชีวิตของผู้บริโภค

นี่คือสิ่งที่สำคัญ และที่มันเกิดขึ้นมาได้เพราะการมี “แบรนด์”!!

.

การรักษาฐานลูกค้าที่ยั่งยืนที่สุดต้องเกิดจากการสร้างแบรนด์ เพราะการก่อเกิดแบรนด์ ทำให้ส่งผลไปสู่ R ทั้ง3 ที่เหลือให้เกิดขึ้นมาเองโดยอัตโนมัติ นั่นคือ แบรนด์ทำให้เกิด “Retention” การรักษาฐานลูกค้าที่ซื้อไว้ได้ แบรนด์ทำให้เกิด “Return” การทำให้ลูกค้าเกิดการซื้อซ้ำขึ้นมาได้ และแบรนด์ทำให้เกิด “Referral” การทำให้ลูกค้าที่ซื้อเกิดการบอกต่อขึ้นมาได้

.

ฉะนั้นหากคุณสร้างแบรนด์จนแข็งได้ ความยั่งยืนในธุรกิจของคุณจะก่อเกิดทันที

.

ซึ่งผมขอสรุป 12 ข้อดีของการสร้างแบรนด์มาให้เห็นภาพดังนี้

.

1. แบรนด์เป็นเหมือนทรัพย์สินที่มีค่า เพราะต่อให้บริษัทตึกถล่ม ผู้นำตายแต่แบรนด์ไม่มีวันตาย หรือแม้แต่บริษัทล้มละลาย แต่ตราบใดที่ชือแบรนด์ยังอยู่ ก็สามารถฟื้นคืนได้เสมอ จะเป็นมรดกสืบทอดให้รุ่นลูกรุ่นหลานตลอดไป

.

2. สามารถนำชื่อแบรนด์แตกไลน์ต่อยอดธุรกิจ หรือสินค้าอื่นๆได้อีกไม่รู้จบ ตราบใดที่แบรนด์แข็ง หากผลิตสินค้าใหม่ลูกค้าก็เชื่อมั่นอยู่ดี

.

3. สามารถลดต้นทุนทางการตลาดได้มหาศาล เพราะตราบใดลูกค้าเชื่อถือ ลูกค้าจะซื้อซ้ำๆ และเป็นผู้ช่วยบอกต่อเอง

.

4. สามารถจูงใจให้ผู้บริโภคยอมจ่ายแพงกว่าราคาสินค้าของคู่แข่ง เพราะมีความเชื่อถือใน “แบรนด์”

.

5. การตัดราคาจากแบรนด์โนเนม ไม่มีผลกระทบใดๆ

.

6. สามารถจูงใจให้ผู้บริโภคไม่เปลี่ยนไปซื้อสินค้าอื่น เพราะเชื่อใจใน “แบรนด์” เดิม

.

7. มีความคุ้มครองทางกฎหมาย คู่แข่งไม่สามารถลอกเลียนแบบได้

.

8. สามารถขายสิทธิในการใช้ “แบรนด์” ได้ เช่น ขายแฟรนไชน์

.

9. ความเสี่ยงต่ำ เพราะตราบใดที่แบรนด์ ยังสามารถตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคได้ รายได้ก็จะได้อย่างต่อเนื่องไม่มีความเสี่ยงใดๆ

.

10. สามารถมีอำนาจในการต่อรองกับผู้จัดจำหน่ายและผู้ค้าปลีก เพราะผู้บริโภคมีความต้องการจะซื้อสินค้าอยู่แล้ว ผู้ค้าปลีกจึงจำเป็นต้องหาทางมาจำหน่ายเท่านั้น ผู้จัดจำหน่าย และผู้ค้าปลีกจึงยอมรับเงื่อนไขต่างๆ เช่นสามารถกดค่า GP ให้ต่ำลงได้

.

11. สามารถกระจายสินค้า ได้อย่างกว้างขวางและทั่วถึงมากขึ้น เพราะเป็น “แบรนด์” ที่ ผู้บริโภคถามหาจะซื้อ จำเป็นต้องลงแบรนด์นี้

.

12. สามารถใช้ชื่อแบรนด์สร้างความสัมพันธ์ในกิจกรรมต่างๆ กับคู่ค้า ลูกค้า และชุมชน ตลอดจนการขยายไปยังต่างประเทศ

.

.

และนี่คือข้อดีทั้ง12 ข้อ ที่เป็นการตอกย้ำว่า วันนี้หากคุณอยากมีธุรกิจที่ประสบความสำเร็จ คุณต้องสร้างแบรนด์เท่านั้น แบรนด์ไม่ใช่ทางเลือกแต่แบรนด์คือสิ่งที่ต้องทำหากอยากสำเร็จ

.

Tactics Online

.

สำหรับแท็กติกผมคงไม่ต้องบอกซ้ำว่าต้องสร้างแบรนด์เท่านั้น แต่สิ่งที่ออนไลน์มีทีเด็ดกว่านั้นคือการเก็บรักษาฐานลูกค้าที่เคยซื้อไว้นั้นแสนง่าย ไม่ว่าจะเป็น กลยุทธ์นำลูกค้าเข้า Line@ เพื่อเก็บไว้สำหรับ Broadcastsหรือ Rich Message คือการส่งข้อความเพื่อให้เกิดการซื้อซ้ำในครั้งต่อไปได้

.

นอกจากนั้นการนำลูกค้าเข้า Inbox Facebook ก็เท่ากับว่าเป็นการเก็บฐานลูกค้าไว้ในมือเป็นที่เรียบร้อยแล้ว หากมีสินค้าใหม่หรือโปรใหม่ก็สามารถแจ้งไปทางอินบ็อกได้ทันที

.

นอกจากนั้นยังสามารถทำ Custom Audience ได้อีกด้วย ไม่ว่าจะเป็น Page Engagement คือคนที่เคยกดดูคลิปคุณ กดอ่าน กดไลค์ แชร์ คอมเม้นท์ หรืออินบ็อก Facebook จะทำการเก็บฐานลูกค้าเหล่านี้ไว้ทั้งหมด แต่คุณต้องกดเปิดพิกเซล Facebook ไว้ด้วย

.

เช่นเดียวกับหากคุณขายสินค้าผ่านทางเว็บไซต์ คุณสามารถเก็บฐานลูกค้าที่เข้าเยี่ยมชมเพื่อนำมายิง Facebook Custom Audience โดยการสร้างFacebook Pixel เพื่อเอาโค้ดไปติดไว้ที่เว็บ จากนั้น ก็เลือกทำโฆษณาโดยเลือกกลุ่มเป้าหมายที่เคยเข้าเว็บ เพียงแค่นี้ ไม่ว่าใครที่เข้าเว็บก็จะโดนโฆษณาตามติดให้เกิดการซื้อหรือซื้อซ้ำอย่างแน่นอน ซึ่งเทคนิคแบบนี้เรียกว่าการทำ Remarketing

.

นอกจากนั้นยังสามารถยิงหาลูกค้าแบบกว้างๆได้อีกด้วย เช่นเลือกเฉพาะลูกค้าที่ไลค์เพจคุณเท่านั้นให้เห็นโฆษณานี้ได้ เพื่อให้เกิดการซื้อหรือซื้อซ้ำล้วนทำได้ทั้งนั้น ฉะนั้นคุณจะเห็นได้เลยว่าพลังออนไลน์มันเล่นได้ง่ายจริงๆถ้าคุณเข้าใจหลักการเทคนิคเหล่านี้คุณจะทำยอดขายได้แน่นอน

.

นอกจากนั้นยังใช้เทคนิคอื่นๆได้อีกด้วย เช่น แจกอีบุ๊คฟรี หากใครลงทะเบียนไว้ แน่นอนการลงทะเบียนด้วยอีเมล์ สามารถทำการยิงโฆษณาตรงเข้าหาอีเมล์ที่ลงทะเบียนไว้ได้ทั้งหมดหากอีเมล์ผูกไว้กับFacebook หรือนอกจากนั้น ยังสามารถนำอีเมล์ไปทำเป็น Email Marketing ได้อีกด้วย

.

จากกฏของการตลาดอย่างที่รู้ๆกัน ลูกค้าจะตัดสินใจซื้อต่อเมื่อเห็น Ads นั้นๆบ่อยจนเกิดการจำได้ และเมื่อจำได้ และมีคอนเท้นท์ที่กระตุ้นให้ซื้อหรือซื้อซ้ำแบบดีๆ วันนึงเค้าจะซื้อเอง จากการวิจัยค่าเฉลี่ยพบว่า การซื้อจะเกิดได้ต้องมีการเห็นโฆษณานั้นซ้ำๆไม่ต่ำกว่า 3ครั้ง หรือ Frequency=3

.

Skill Online :

.

.

R: #Return การทำให้ลูกค้าเกิดการซื้อซ้ำ

.

R: #Referral การทำให้ลูกค้าที่ซื้อเกิดการบอกต่อ

.

คือการรักษาจุดสำเร็จให้คงอยู่ตลอดไป ด้วย3 วิธีการคือ

.

• หากลุ่มลูกค้าใหม่ เพื่อขายสินค้าเดิม

.

• สร้างจุดขายใหม่ ให้กับกลุ่มลูกค้าเดิม

.

• สร้างสินค้าใหม่ ให้กับกลุ่มลูกค้าเดิมและใหม่

 

 

บทความโดย

AcTioN

AcTioN Taywagorn

AcTioN Taywagorn

ผู้เขียนบทความ

“ทุกสิ่งทุกกอย่าง ในโลกนี้ย่อมมีการบ่งบอกความหมายในตัวของมันเสมอ อยู่ที่คุณจะตีความมันออกมาในรูปแบบไหน”

Popular Courses

content marketing ฿12,900.00 ฿4,990.00 AcTioN AcTioN

Content Marketing

117 0 ฿12,900.00 ฿4,990.00 AcTioN AcTioN

ดิจิตอล360องศา ปั้นธุรกิจจาก0สู่100

56 0 ฿12,990.00 ฿4,990.00 AcTioN AcTioN

คอร์ส “เซียนธุรกิจ360องศา O2O

79 0 ฿5,990.00 ฿1,990.00 AcTioN AcTioN

คอร์ส สร้างโฆษณามืออาชีพ ให้ยอดขายกระจุย

260 0 ฿2,900.00 ฿900.00 AcTioN AcTioN

คอร์สสอนตัดต่อวีดีโอให้ปังจนใครๆก็อยากแชร์

458 0 ฿7,990.00 ฿2,990.00 AcTioN AcTioN

Web Design & SEO

221 0 ฿4,990.00 ฿1,990.00 AcTioN AcTioN

คอร์สสอนนำเข้า ส่งออกสินค้า

76 0

บทความ แนะนำ

ความรู้ที่พร้อมเสริฟให้คุณ