#คอนเท้นท์ขั้นเทพ คุณทำได้ด้วยกลยุทธ์ 17 C
.
บทความนี้จะทำให้คุณได้ไอเดียในการสร้างคอนเท้นท์ชนิดที่เรียกว่าเปิดโลกแห่งมุมมองใหม่ให้กับคุณได้อย่างแน่นอน
.
ซึ่งผมได้รวบรวมหลักการสร้างคอนเท้นท์ในระดับมือโปรมาให้คุณถึง 17 C อันได้แก่
.
(1) Creator, (2) Combine, (3) Center, (4) Connect, (5) Change, (6) Credibility, (7) Consistency, (8) Competitor, (9) Concept, (10) Character, (11) Caption, (12) Context, (13) Clearly, (14) Calibrate, (15) Craft&Colorful, (16) Contest, (17) Call-to-action
.
ผมขอเริ่มด้วยขั้นตอน การปลูกฝังวิธีคิด (Mindset)
.
(1) Creator เป็นผู้สร้างไม่ใช่ผู้ขโมย
.
1.1 ก็อป Copy + วาง Past = ขโมย Steal
.
วิธีนี้คือการขโมยผลงานแบบดื้อๆ โดยใช้วิธีก็อปมา หรือดูดคลิปมาทั้งดุ้น เพื่อหวังยอดไลค์ ยอดแชร์ ซึ่งบางคนเห็นคลิปฝรั่งคนดูเป็นล้านเอามาแชร์บ้างเผื่อเกิดไวรัลในไทย ซึ่งแบบนี้ถึงได้ยอดวิวมาเป็นล้านก็ไม่น่าภูมิใจ เพราะมันไม่ใช่ผลงานของคุณเลยสักนิด ซึ่งถ้าคุณเป็นเพจแบบสร้างเพื่อความสนุกบันเทิงไม่มีปัญหาหรอก ถ้าให้เครดิตชัดเจนและได้ขออนุญาติแล้ว แต่หากเป็นเพจเกี่ยวกับทางการผมไม่แนะนำ
.
เพราะสำหรับผมเน้นคำว่า”แบรนด์” เป็นหลัก ขอให้คุณรู้ไว้ว่า “เพจที่ยั่งยืนและน่าติดตาม ต้องมีแบรนด์ของตัวเองที่ชัดเจน” ฉะนั้นถ้าอยากมีแบรนด์ที่ชัด กลยุทธ์คอนเท้นท์จะต้องเกี่ยวข้องกับแบรนด์ด้วยเสมอ นั่นคือคุณต้องนำเสนอคุณค่าของแบรนด์ของคุณเอง อย่าไปก็อปปี้คุณค่าของคนอื่นมานำเสนอ
.
ยิ่งถ้าคุณต้องการเป็นผู้นำในเรื่องนั้นๆ เช่นต้องการสร้างตัวตนให้เป็นผู้เชี่ยวชาญ แต่ดันก็อปปี้คอนเท้นท์จากคนอื่นมา ก็เท่ากับ คุณกำลังประกาศตัวเองเป็นตัวรองบ่อน และก็ต้องอยู่ใต้เงาคนอื่นตลอดไปไม่มีวันได้เป็นตัวจริง ขอให้จำไว้เสมอว่าไม่มีใครอยากติดตามตัวปลอมที่ไม่มีไอเดียและแนวความคิดเป็นของตัวเองหรอก เค้าไปติดตามตัวจริงที่คุณก็อปมาไม่ดีกว่าเหรอ
.
แต่ทั้งนี้ ก็มีข้อยกเว้นสำหรับเพจที่วางตนชัดเจนตั้งแต่ต้นว่าเป็น “Curator” ซึ่ง Curator หมายถึงการเป็นผู้คัดสรรเรื่องราวและคอนเท้นต่างๆจากทั่วโลก เพื่อมาแชร์หรือเสนอต่อให้กับกลุ่มคนใหม่ๆ เช่น เพจเกี่ยวกับบทความทางวิชาการที่แปลมาจากต่างประเทศ หรือเพจอัพเดทข่าวสารเรื่องราวต่างๆที่น่าสนใจจากทั่วโลกหรืออาจจะเป็นพวก Influencer ที่มีข้อตกลงซึ่งกันและกันในการช่วยเผยแพร่ โดยแลกกับผลประโยชน์ซึ่งกันและกัน ก็เป็นข้อยกเว้น ซึ่งหากวางแนวทางเพจชัดเจนอันนี้ไม่มีปัญหา แต่ถ้าเพจคุณไม่ได้มีการวาง Position อย่างที่กล่าวมา อย่าก็อปปี้ทั้งดุ้น!!
.
1.2 ก็อป Copy + ใส่แนวคิด Concept + วาง Past = พอใช้ OK
.
วิธีนี้ นำบทความของผู้อื่นมาเป็นกรณีศึกษา โดยใส่บทวิเคราะห์และเสริมแนวคิดของคุณเข้าไปเพิ่มเติม ถือว่าเป็นแนวทางที่พอใช้อย่างนึง ซึ่งหากคิดคอนเท้นท์ไม่ออกจริงๆวิธีนี้พอช่วยได้ และนี่คือสิ่งที่ผมจะแนะนำคือหากคุณดูดคลิปไวรัลของฝรั่งมาเพื่อใส่ซัพมันยังไม่พอ แต่คุณต้องใส่แนวคิดของตนเองและบทวิจารณ์ลงไปด้วยอันนี้ละที่ถือว่าใช้ได้เลย จำคีย์ไว้นะก็อปได้แต่คุณต้องมี Concept ของตัวเองด้วยเสมอ และที่สำคัญอย่าลืมว่าต้องให้เครดิตต้นฉบับทุกครั้ง
.
1.3 ก็อป Copy + ดัดแปลง Transform + วาง Past = ดี Good
.
วิธีนี้ ถือว่าดีเพราะ ต้องยอมรับว่าOriginal Content หายากมาก ทุกคอนเท้นท์ล้วนถูกดัดเเปลงมาทั้งสิ้น วิธีคือนำบทความที่ต้องการมาเป็นแค่ไอเดีย แล้วใส่การใช้ภาษาที่แตกต่างของคุณเข้าไปแทน ง่ายๆคือถ้าเนื้อหาเดิมเป็นแบบไหน คุณก็ต้องบิดไปนำเสนอในรูปแบบใหม่ในภาษาของตนเองเสมอ สิ่งเหล่านี้เรียกว่าการคัดลอกไอเดียอย่างมีกลยุทธ์
.
โดยรูปแบบการTransform ผมแนะให้คุณใช้ กลยุทธ์4×4 ซึ่ง
.
4 รูปแบบแรกคือ”แนวทางการนำเสนอ” ได้แก่
.
– นำเสนอแบบเนื้อหาขยายคำจำกัดความ (Definition)
.
– นำเสนอแบบเนื้อหาเล่าเรื่อง (Narrative)
.
– นำเสนอแบบเนื้อหามีเรื่องราวที่มาที่ไป (Story)
.
– นำเสนอแบบเนื้อหาเชิงเล่าเปรียบเปรย (Analogy)
.
.
และ 4รูปแบบหลังเป็น”วิธีการนำเสนอ”อันได้แก่
.
– นำเสนอในรูปแบบบทความ (Article Content)
.
– นำเสนอในรูปแบบวีดีโอ (Video Content)
.
– นำเสนอในรูปแบบภาพอธิบาย (Infographic)
.
– นำเสนอในรูปแบบเสียง (Audio Content)
.
เทคนิคคือรูปแบบการนำเสนอเดิมเป็นแบบไหน ก็ให้คุณเปลี่ยนแนวทางและวิธีการนำเสนอไปอีกมุมเสมอ เช่น ไอเดียที่ได้มา เค้าเสนอแบบบทความ ก็ให้คุณแปลงเป็น เสนอด้วยInfographic หรือวีดีโอ และหากรูปแบบการนำเสนอของเดิมเป็นการขยายคำจำกัดความ(Definition) ก็ให้คุณเปลี่ยนเป็น วิธีการเล่าเรื่อง(Narrative)และเปรียบเปรย(Analogy)แทน เป็นต้น
.
และนี่ละคือนักดัดแปลง โลกนี้ไม่มีอะไรใหม่ แต่ที่เห็นสิ่งใหม่ๆเกิดขึ้นล้วนเกิดมาจากการรู้จักใช้กลยุทธ์ในการดัดแปลงทั้งสิ้น
.
1.4 สร้างเรื่องราวใหม่ Original Content = สุดยอด Perfect
.
จริงๆต้องบอกว่า Original Content อย่างแท้จริง หายากมากๆในโลกนี้ อย่างแฮรี่พ็อตเตอร์ ก็ไม่ใช่เรื่องใหม่เพราะแม่มดและเวทมนต์เป็นเรื่องเล่ามานมนาน หนังผี มนุษย์ต่างดาว ก็ไม่ใหม่ เพราะล้วนนำมาจากเรื่องเล่าและความเชื่อทั้งสิ้น หนังหรือละครก็ล้วนเอาเรื่องราวมาจากเรื่องราวของชีวิตจริงมานำเสนอ ข้อมูลทางวิชาการต่างๆก็ไม่ใหม่ เพราะล้วนมาจากการอ้างอิงจากแหล่งต่างๆมาผสมกัน
.
สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่เรื่องใหม่แต่ผู้สร้างเหล่านั้นเค้าคือนักดัดแปลงชั้นยอดที่สามารถดัดแปลงจนก่อเกิดเป็นเรื่องราวใหม่ๆขึ้นมาได้ ฉะนั้น”คุณจงเป็นนักดัดแปลงชั้นยอดให้ได้” เพื่อที่จะได้ก่อเกิดเรื่องราวใหม่ๆขึ้นมาบนโลกใบนี้
.
และนี่คือ 3แนวทางสู่การเป็น Creator แต่ต้องตัดข้อแรกไป เพราะคุณต้องเป็นผู้สร้างสรรค์ ไม่ใช่ผู้ขโมย
.
เอาละคราวนี้ไปที่ C ตัวที่2กัน ได้แก่
.
(2) Combine ต้องรู้จักผสมผสาน
.
และนี่คือแนวทางที่ดีที่สุดของการเป็นนักสร้างคอนเท้นท์ที่ใครๆก็อยากติดตาม อย่างที่ผมบอกไปแล้วว่าคอนเท้นท์ในโลกนี้ไม่มีอะไรใหม่ ทุกบทเรียน หรือข้อมูลของทุกๆนักวิชาการ ก็ถูกผสมผสานมาจากของเก่าๆทั้งสิ้น แต่จุดสำคัญคือจะเล่ายังไงให้ดีกว่าของเก่า และนี่ละคือจุดสำเร็จ
.
หากอยากดูตัวอย่าง ให้ดูบทความ17C บทนี้ของผม กว่าจะมาเป็นบทความนี้ ผมได้เก็บเกี่ยวเทคนิคกลยุทธ์ทั้งจากประสบการณ์ตรงของตนเอง จากแหล่งวิจัย และบางส่วนจากหลักวิชาการที่มีอยู่แล้ว มาผสมผสานกันโดยใช้เทคนิคการนำเสนอแบบให้เข้าใจง่ายๆด้วยการพยายามจับให้เป็นตัวอักษรเดียวเพื่อให้ง่ายแก่การจดจำจนได้มาเป็น “C” 17 ตัว
.
จนก่อเกิดเป็นหลักทฤษฎีทางวิชาการชิ้นใหม่ขึ้นมา เรียกว่า “กลยุทธ์17C”
.
อีกเรื่องที่ชัดให้ดูเรื่องศาสตร์พระราชา ซึ่งใครยังไม่ได้อ่านหาดูในเพจของผมได้เลย ซึ่งผมได้ทำการผสมผสานกัน 5เรื่องคือ
.
1 ทฤษฎีพอเพียง
2 หลักการทรงงานและคำสอนพ่อหลวง
3 หลักธรรมทางศาสนา
4 หลักการบริหารและการตลาดยุคดิจิทัล
5 จิตวิทยาของมนุษย์ (NLP)
.
โดยนำแก่นหลักของทั้ง5 มาผสมผสาน(Combine) จนสามารถสร้างเป็นหลักทฤษฎีใหม่ขึ้นมา ที่เรียกว่า Original Content ที่ไม่เคยมีใครทำมาก่อนได้เช่นกัน
.
หรืออีกหลายๆบทความของผมส่วนใหญ่ล้วนใช้เทคนิคการ Combine ทั้งสิ้น เช่นบทความที่เกี่ยวกับพุทธศาสนาผมก็ใช้วิธีผสมผสานขึ้นมา เช่น เรื่อง กลยุทธ์การปิดการขายด้วยจริตทั้ง6 ที่ไม่เคยมีใครคิดผูกโยงมาเป็นสูตรปิดการขายมาก่อน จนผมสามารถสร้างเป็นกลยุทธ์ปิดการขายแบบใหม่ ด้วยศาสตร์อ่านใจคนทั้ง6จริต
.
หรือ เรื่อง Content Marketing By Buddha ที่ผมผูกโยงหลักการสอนของพระพุทธเจ้า เรื่อง Content & Neuromarketing ที่พระพุทธเจ้าใช้สอนเหล่าศาสดาสมัยก่อนพุทธกาลผูก เข้ากับการตลาดยุคดิจิทัล จนเกิดเป็น Original Content ชิ้นใหม่ที่ไม่เคยมีใครทำมาก่อนได้เช่นกัน
.
และนี่ละคือการ”Combine” ขอให้จำไว้ว่าเรื่องทุกเรื่องล้วนมีบริบทของมันมาก่อนแล้วทั้งสิ้น แต่หากคุณใช้วิธีโดยการนำมาผสมผสานเข้าด้วยกัน มันจะก่อเกิดเป็น”เรื่องราวใหม่ๆได้เสมอ”
.
(3) Center เป็นศูนย์กลาง
.
การทำคอนเท้นท์ห้ามทำคอนเท้นท์ครอบจักรวาล คิดจะโพสต์ไรก็โพสต์ เจอกระแสเรื่องไหนดังก็เอามาโพสต์ เพราะหากคุณทำแบบนี้เพจคุณจะไม่มีแฟนแท้สักคนเดียว หากอยากสำเร็จ ผมแนะนำให้คุณทำให้ตนเองเป็นเซ็นเตอร์ของเรื่องนั้นให้ได้
.
เช่น หากคุณเป็นนักออกแบบ เพจคุณก็ควรจะมีแต่ เคล็ดลับ และวิธีการ หรือเรื่องเกี่ยวกับการออกแบบ เท่านั้น เพราะผู้ที่ติดตามคุณล้วนต้องการเสพเนื้อหาเรื่องแบบนี้จึงยอมติดตาม
.
แต่หากวันไหนคุณพลาดไปโพสต์ข่าวดารา หรือเรื่องในกระแสอื่นๆ ติดๆกันสัก2-3วัน แล้วลูกเพจไม่สนใจ เพราะจุดประสงค์ในการติดตามเพจคุณไม่ได้ต้องการเรื่องเหล่านี้ หากเค้าเลื่อนผ่านสัก2-3ครั้ง บอกเลยหายนะมาเกิด เพราะFacebook Algorithm มันจะทำให้โพสต์ในฟีดของลูกเพจของคุณที่เลื่อนผ่านแบบไม่แยแสบ่อยๆ หายไปตลอดกาล ฉะนั้นจงทำตัวให้เป็นCenter ของเรื่องเฉพาะเรื่องนั้นๆให้ได้ เพื่อให้ใครๆก็เห็นว่าหากอยากรู้เรื่องนี้ต้องมาเพจนี้เท่านั้น และนี่ละคือจุดแห่งความสำเร็จ นั่นคือต้องหา Positioning ของตนให้เจอ
.
(4) Connect เชื่อมต่อ
.
ทุกโพสต์ของคุณ ลูกค้าจะ คิดเสมอว่า “เกี่ยวอะไรกับกรู” ฉะนั้นหากคุณคิดจะผลิตคอนเท้นท์ ต้องทำให้ลูกค้าเกี่ยวข้องกับคอนเท้นท์คุณให้ได้ นี่คือสิ่งสำคัญมาก ที่คอนเท้นท์จะสำเร็จหรือล้มเหลว เพราะถ้าคุณทำให้เชื่อมต่อConnect กับลูกค้าได้ คุณก็จะได้ผู้ติดตามที่อยากตามคุณจริงๆทันที
.
(5) Change ทำให้เปลี่ยนแปลง
.
คอนเท้นท์ที่ทรงพลัง ต้องคาดหวังเสมอว่าสิ่งที่ผู้เสพจะได้รับต้องเกิดความเปลี่ยนแปลงเสมอ ไม่ว่าจะทำให้เค้าได้ความรู้เพิ่มขึ้น ได้เคล็ดลับพิเศษ ได้แรงบันดาลใจสู้ชีวิต หรือหากเป็นโพสต์ขายก็ต้องทำให้เค้ารู้สึกว่า ถ้าใช้สินค้าคุณเค้าต้องเปลี่ยนแน่นอน เช่น สวยขึ้น ขาวขึ้น ดูมีฐานะขึ้น ทำให้ชีวิตง่ายขึ้น สะดวกขึ้น สิ่งเหล่านี้สำคัญ ทุกการนำเสนอคุณต้องคิดเสมอว่าเค้าจะได้อะไรจากคุณ แล้วจะทำให้ชีวิตเค้าเปลี่ยนแปลงดีขึ้นได้อย่างไร
.
(6) Credibility สร้างความน่าเชื่อถือ
.
การที่ลูกค้าจะตัดสินใจซื้อสินค้าของคุณ มาจากการเชื่อ เพราะเชื่อต้องมาก่อนเค้าจึงกล้าซื้อ เพราะฉะนั้นการทำให้เชื่อ คือต้องทำให้ลูกค้ารับรู้ให้ได้ว่า “คุณเป็นตัวจริงในเรื่องนั้น” หรือทำให้เห็นว่าสินค้าคุณดีจริง มันช่วยแก้ปัญหาให้ลูกค้าได้จริงๆ แม้สินค้าจะเหมือนกันเป็น10เจ้า แต่จุดตัดสินใจซื้อหากเป็นออนไลน์ ลูกค้าจะดูหน้าตาของเพจหน้าตาของเว็บไซต์ และที่สำคัญคือดูตัวคอนเท้นท์ว่าดูน่าเชื่อถือแค่ไหนดูตั้งใจและทุ่มเทในการทำแค่ไหน และสุดท้ายลูกค้าจะตัดสินใจเลือกร้านที่ดูแล้วเป็นมืออาชีพที่สุดก่อนเสมอ
.
ความน่าเชื่อถือในที่นี่ไม่ได้หมายถึงว่าให้คุณใส่สูท ถ่ายกับรถสปอร์ต ให้ดูรวยให้ดูสำเร็จไว้ก่อน ยุคนี้คนรู้ทันอย่าทำ อย่าเน้นอวดโชว์ แต่ให้พูดถึงสิ่งที่เค้าจะได้รับตรงๆทั้งจากผลิตภัณฑ์ หรือค่าตอบแทน คนสนใจมีแน่นอน เพราะทุกธุรกิจถูกออกแบบมาเพื่อแก้ปัญหาให้ผู้คนเสมอ (นอกจากธุรกิจที่สร้างขึ้นเพื่อมาหลอกลวง)
.
โดยเฉพาะธุรกิจผู้เชี่ยวชาญ ขายความรู้ ความน่าเชื่อถือสำคัญมาก และสิ่งที่ดูว่าน่าเชื่อหรือไม่ อยู่ที่คอนเท้นท์ล้วนๆ ว่าได้โชว์กึ๋นแค่ไหน ก็อป หรือเรียนรู้มาจากทั่วๆไปหรือป่าว มีแนวความคิดที่แตกต่างจากในห้องเรียนหรือเพจอื่นๆไหม เนื้อหาช่วยเค้าได้จริงหรือไม่ ฉะนั้นการใส่สูทไม่ได้ช่วยอะไร แต่คอนเท้นท์ในเพจหรือเว็บนั้นละเป็นตัวชี้วัดความน่าเชื่อถือของแบรนด์ทั้งหมด
.
(7) Consistency ความคงเส้นคงวา
.
ความต่อเนื่องคือปัจจัยที่จะส่งผลสู่ความสำเร็จ ถ้าเป็นทางพุทธเรียกว่าสมานัตตา คือการมีใจตั้งมั่นถึงความสำเร็จด้วยการทำอย่างต่อเนื่อง เสมอต้นเสมอปลาย หากทำอย่างไม่ท้อไม่หยุด วันนึงคุณก็จะสำเร็จได้แน่นอน
.
และการที่คุณมีความต่อเนื่องทำซ้ำๆมันจะเป็นการตอกย้ำได้เลยว่าคุณคือตัวจริงในเรื่องนั้นๆอย่างแท้จริง และนี่คือคีย์สำคัญของการสร้างแบรนด์ การสร้างแบรนด์ให้จำ ต้องเกิดจากการเห็นย้ำๆจนทำให้รู้สึกได้ว่า เมื่อคิดถึงเรื่องนั้นๆจะต้องคิดถึงแบรนด์นี้ เพราะความสม่ำเสมอจะส่งผลไปสู่จิตวิทยาของผู้เสพที่ถูกป้อนบ่อยๆจนเคยชิน จนในที่สุดก็จะรู้สึกว่าแบรนด์ที่คุ้นชินที่สุด จะต้องเป็นตัวจริงในเรื่องนั้นๆแน่นอน และเมื่อลูกค้ามองคุณว่าเป็นตัวจริงได้เมื่อไหร่ เมื่อนั้นละคือเงินโอนรัวๆ
.
(8) Competitor เกาะติดคู่แข่ง
.
รู้เขารู้เรา รบร้อยครั้งชนะร้อยครั้ง กลยุทธ์อมตะนี้ใช้ได้ทุกสมรภูมิการแข่งขัน และนั่นหมายถึงการแย่งครองพื้นที่ในใจลูกค้าด้วยคอนเท้นท์เช่นกัน คุณจึงต้องตามติดทุกการเคลื่อนไหวของคู่แข่งทั้งทางตรงและทางอ้อมอย่างต่อเนื่องเพื่อให้คุณสามารถรู้ได้เสมอว่าเค้ากำลังทำอะไร หรือเทรนด์โลกกำลังทำอะไร คุณจะได้สามารถแก้ทางโดยการปรับเนื้อหาคอนเท้นท์ให้พร้อมแข่งขันได้เสมอ ห้ามยึดตัวกรูเป็นหลัก เพราะโลกเปลี่ยนแปลงไปทุกๆนาทีคู่แข่งขันก็เช่นกัน ฉะนั้น!! หากอยากเป็นผู้นำ คุณต้องตามโลกให้ทัน และต้องสร้างสิ่งที่เหนือกว่าคู่แข่งขันให้ได้เท่านั้น
.
.
และนี่คือ 8C แรกที่เป็นเรื่องของวิธีคิด(Mindset) และ 9C ต่อไปจากนี้จะเป็นเรื่องของการให้วิธีการ(How To)
.
เอาละ มาต่อกันที่ C ต่อมา ได้แก่
.
(9) Concept การวางรูปแบบ
.
ต้องมีการออกแบบและวางรูปแบบที่ชัดเจน มีธีมที่ชัด โทนสีของคอนเท้นท์ต้องชัดว่าใช้สีไหนยืนพื้น ห้ามปนกันมั่วตามใจฉัน การวางConcept ที่เป็นเอกลักษณ์ เป็น1ในกลยุทธ์การสร้างแบรนด์ที่สำคัญ ฉะนั้นนี่คือสิ่งแรกที่ต้องคิดว่าจะออกแบบเพจให้มีConcept แบบไหน เพื่อให้ลูกค้าจดจำได้ สำคัญต้องมีเอกลักษณ์เฉพาะ ชนิดที่เห็นแว่บเดียวรู้เลยว่ารูปสไตล์แบบนี้ ต้องมาจากเพจนี้เท่านั้น
.
ยกตัวอย่างที่เห็นได้อย่างเด่นชัดคือ เพจของผม ทุกรูปจะมีสียืนพื้นคือสีเหลือง และมีการวางรูปแบบที่เด่นชัดเฉพาะตัว และเป็นธีมเดียวกันทั้งเพจ ซึ่งถ้ามีรูปแนวนี้โผล่ขึ้นมาฟีดคุณเมื่อไหร่คุณก็จะจำได้ทันทีว่านี่ละคอนเท้นท์จากเพจผม และนี่ก็คืออีก1กลยุทธ์ในการสร้างแบรนด์ให้เป็นที่จดจำ
.
(10) Character สร้างบทบาทตัวละคร
.
คือการDesign แบรนด์ เพจ และคอนเท้นท์ขึ้นมา ให้ก่อเกิดเป็นBrand DNAที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตน โดยใช้กลยุทธ์Brand Archetype เพื่อกำหนดตัวตนและเอกลักษณ์ของแบรนด์ ซึ่งเอกลักษณ์นี้ต้องส่งผลไปยังคอนเท้นท์
.
ซึ่งนักจิตวิทยาแบ่งลักษณะของ Human Archetype ออกมาได้เป็น 5 กลุ่ม คือ
– กลุ่มจิตวิญญาณ (Spirit) ยึดมั่นในอุดมการณ์
.
– กลุ่มความคิด (Thought) สุขุมและมีสติปัญญาล้ำลึก
.
– กลุ่มพลังงาน (Energy) เต็มไปด้วยพลังในการเปลี่ยนแปลง
.
– กลุ่มอารมณ์ (Emotion) เป็นมิตรและใจดีมีเสน่ห์
.
– กลุ่มแก่นสาร (Substance) เต็มไปด้วยสาระที่รู้ลึกถึงแก่น
.
และจาก 5 กลุ่มลักษณะนี้ สามารถนำมาแบ่งหรือแตกตัวละครออกมาได้อีก12แบบ คือ
.
1 Innocent สงบสุข เรียบง่าย
.
2 Explorer มีพลังงาน แสวงหาความท้าทาย
.
3 Sage ชอบค้นคว้านำเสนอให้ข้อมูลข่าวสาร
.
4 Hero ต่อสู้ฝ่าฟันไปถึงจุดหมาย โดยไม่กลัวอุปสรรค
.
5 Outlaw ชอบแหกกฏ ชอบเปลี่ยนแปลงสังคม
.
6 Magician จินตนาการสิ่งที่ไม่มีจริงให้ก่อเกิดขึ้นมาได้
.
7 Everyman เป็นตัวแทนของผู้คน ผู้ออกตัวแทน
.
8 Lover สร้างอารมณ์เชื่อมต่อความรักให้ผู้คน
.
9 Jester อารมณ์ขัน เฮฮา สนุกสนาน ไร้สาระ
.
10 Caregiver ชอบแบ่งปันความรู้และสิ่งดีๆให้ผู้คน
.
11 Creator สร้างสรรค์ สิ่งแปลกใหม่และดีๆให้ผู้คน
.
12 Ruler เป็นผู้นำ ผู้กำหนดแนวทางให้ผู้คนเดินตาม
.
และนี่คือ 12Brand Archetype หลักๆ ที่เป็นแนวทางมาให้เท่านั้น ซึ่งแต่ละแบบนั้นสามารถเอามาประยุกต์กับคอนเทนท์ได้เลย ซึ่งไม่ได้จำกัดแค่นี้ขึ้นอยู่กับคุณว่าอยากวางตัวตนเป็นแบบไหน
.
นอกจากนั้นต้องมากำหนด เพศ อายุ นิสัย ให้ออกมาเลย ว่าเป็นลักษณะแบบไหนบุคลิกยังไง
.
ที่สำคัญต้องมี จุดยืนคอนเท้นท์ที่ชัดเจน ซึ่งสไตล์การนำเสนอแบบไหนก็ต้องยึดแนวทางแบบนั้นเสมอ ไม่ใช่วันนึงเกรียน วันนึงสุภาพน่าเชื่อถือ แบบนี้ไม่ต่างจากโรคไบโพล่าร์ ฉะนั้นต้องชัดเจนในจุดยืน
.
สำคัญคือต้องทำให้เป็นเหมือนคนจริงๆเท่านั้น ไม่ใช่ให้คนรู้สึกว่าแค่โลโก้แบรนด์ที่มาโพสต์ขายๆ เพราะคนชอบคุยกับคน คิดไม่ออกให้ดูแอดมินเพจKFCเป็นตัวอย่าง Characteของแอดมินเป็นผู้หญิงที่ดูน่ารักแต่แอบกวน อย่าลืมสำคัญมากๆคนมักอยากคุยกับคน
.
ผมจึงไม่เคยแนะนำลูกค้าเลยให้ตั้งตอบแบบออโต้ เพราะมันทำให้เสน่ห์ของเพจจบสิ้นลงทันที (แต่การเลือกบุคลิกเพจต้องสอดคล้องกับแบรนด์ด้วยนะ ไม่ใช่เพจขายสินค้าระดับไฮโซแต่มาตอบแบบฟรุ้งฟริ้งอันนี้ก็ไม่เหมาะ อยากรู้เทคนิคเหล่านี้ให้ดูบทความ ปิดการขายกระจุยด้วยจริตทั้ง6ของผมได้เลย)
.
(11) Caption พาดหัว
.
พาดหัวสำคัญมากที่จะเป็นตัวชี้วัดว่าผู้เสพจะกดอ่าน หรือกดดูหรือไม่ ฉะนั้น พาดหัวต้องเร้าใจชวนให้อ่าน ตั้งแต่บรรทัดแรก แต่ยุคนี้เว็บ Clickbait ทำจนเน่าหมดแล้ว คุณจึงต้องพาดหัวด้วยการบอกสิ่งที่ลูกค้าจะได้รับก่อนเลยเสมอ แล้วการเร้าอารมณ์ให้คลิ๊กค่อยตามมา
.
(12) Context บริบท
.
บริบทหรือเนื้อหา 3 บรรทัดแรกในการเกริ่นนำ ต้องเป็นคีย์สำคัญให้ผู้เสพอยากกดอ่านต่อให้ได้ ใช้ภาษาง่ายๆ เหมือนคนคุยกัน ไม่ใช่ใช้ภาษาเหมือนกับอ่านจดหมายทางราชการ คนมาเล่นเฟซบุ๊คไม่มีใครอยากมาเครียด แม้เนื้อหาเป็นวิชาการก็ไม่ควรทางการเหมือนหนังสือเรียน ภาษาสื่อสารต้องทำให้เค้ารู้สึกให้ได้ว่ากำลังคุยกับคนจริงๆไม่ใช่อ่านหนังสือ ต้องสร้าง Human Touch ให้ได้ เหมือนเพื่อน พี่น้องคุยกันแล้วเพจคุณจะมีเสน่ห์ขึ้นอีกบาน
.
(13) Clearly ชัดเจนและตรงประเด็น
.
เนื้อหาต้องไม่กลวง ต้องตรงประเด็น เน้นเนื้อๆ น้ำตัดให้หมด ผู้เสพโซลเชี่ยลมีสมาธิสั้น ต้องห้ามเยิ่นเย้อ และต้องตรงกับวัตถุประสงค์หัวข้อจริงๆ อย่าทำเหมือนเว็บ Clickbait ที่ล่อหัวให้คนอ่านแต่สุดท้ายเนื้อหาไม่ตรงประเด็นสักอย่าง
.
(14) Calibrate การกำหนดขนาด
.
ขนาดเป็นสิ่งสำคัญที่ห้ามมองข้าง แพลตฟอร์มที่ต่างกัน ขนาดที่เหมาะสมก็ต้องแตกต่างกันตาม เช่นวีดีโอใน Facebook และIG ควรเป็นสี่เหลี่ยม วีดีโอในYoutube ควรเป็น 16:9 หรือการโพสต์ ขนาดรูปที่เป็นอัลบัมในสัดส่วนก็ต้องเป๊ะเพื่อผลการแสดงที่ไม่ผิดสัดส่วน ฉะนั้นเรื่องการกำหนดขนาดจึงต้องคำนึงถึงอย่างยิ่ง ผมเคยทดสอบ A/B Testing ในการยิงAds Facebook ด้วยเนื้อหาเดียวกัน และยิงกลุ่มเป้าหมายเดียวกัน แต่กำหนดขนาดแตกต่างกัน ปรากฏว่า ขนาดสี่เหลี่ยม มี Engagement ชนะ ขนาด16:9 แบบชนิดขาดลอย ลดค่าโฆษณาลงอย่างเห็นได้ชัด ฉะนั้นอย่ามองข้ามเรื่องขนาดอย่างเด็ดขาด
.
(15) Craft & Colorful มีความเป็นมืออาชีพและมีสีสัน
.
รูปภาพ หรือวีดีโอ ต้องมีความสวยงาม ต้องดูเป็นมืออาชีพ และมีสีสันมีชีวิตชีวาน่าสนใจ ยิ่งใครโพสต์โดยไม่มีรูปหรือคลิปประกอบถือว่าพลาด เพราะสมองของมนุษย์สามารถประมวลผลรูปภาพได้เร็วกว่าข้อความตัวหนังสือ 60,000 เท่า นี่คือจุดสำคัญเพราะ ต่อให้Captionและ Context ดียังไง โอกาสถูกเลื่อนผ่านสูงกว่ามีรูปอย่างมาก
.
และต่อให้มีรูปหรือคลิป แต่ถ้ารูป หรือคลิปห่วยๆไม่ได้เชิญชวนให้คลิ๊กก็จบสิ้นอยู่ดี และจากการวิจัยพบว่าหากรูปนั้นไม่มีสีสันดูจืดชืดขาดชีวิตชีวาโอกาสจะถูกเลื่อนผ่านก็จะสูงมากขึ้น นอกจากCraft ผมจึงเน้นเรื่องColorful เข้าไปด้วย เพราะรูปยิ่งดูมีชีวิต และสีสันเยอะก็ยิ่งสามารถหยุดสมองได้มากขึ้นเท่านั้นนี่คือหลักของNeuromarketing ฉะนั้นเรื่องความมีชีวิตชีวาสีสันสวยงามของรูปเป็นจุดที่สำคัญมาก
.
ยิ่งคุณมีสกิลการตัดต่อดูเป็นมืออาชีพมากเท่าไหร่แบรนด์คุณก็จะยิ่งน่าเชื่อถือมากขึ้นเท่านั้น เพราะคอนเท้นท์ยิ่งอลังการงานสร้างมากแค่ไหน ผู้คนและลูกค้าจะมองว่าแบรนด์เจ้านั้นๆ หากเปรียบเป็นออฟไลน์เหมือนมีหน้าร้านที่ต้องใหญ่และดูอลังการดูน่าเชื่อถือกว่าแบรนด์ที่ทำคอนเท้นท์ทั่วๆไปโดยทันที
.
เพราะจากข้อมูลการสำรวจการตัดสินใจซื้อสินค้าผ่านออนไลน์พบว่า ยิ่งคอนเท้นท์ดูเป็นมืออาชีพและสวยงามมากแค่ไหน ยิ่งเป็นตัวตัดสินใจให้ลูกค้าเลือกซื้อเจ้าที่ดูดีและดูเป็นมืออาชีพมากที่สุดก่อนเสมอ เพราะลูกค้ามักคิดว่าเจ้าที่ลงทุนProduction ต้องเป็นเจ้าที่ต้องใหญ่และดีกว่าเจ้าไม่ลงทุนรูปภาพและวีดีโอไปโดยทันที
.
ฉะนั้น นี่คือโอกาสของแจ๊คผู้ฆ่ายักษ์อย่างแท้จริง แม้ความจริงคุณจะเป็นเพียงเจ้าเล็กๆอันจิ๊บจ้อย แต่ขอแค่ทำคอนเท้นท์อย่างมีฝีมือดูเป็นมืออาชีพ คุณก็จะชนะยักษ์ใหญ่ๆที่ทำคอนเท้นท์ทั่วๆไปได้อย่างสบายๆ “นี่ละโลกออนไลน์ มันคือโลกเสมือนจริง” ภาพลักษณ์ทั้งหมดของแบรนด์จึงอยู่ที่คอนเท้นท์ล้วนๆ
.
(16) Contest กิจกรรมชิงของรางวัล
.
การให้ผู้บริโภคมีส่วนร่วมกับกิจกรรมเป็นอีก1ในกลยุทธ์ที่สำคัญ ที่เรียกกันว่า User Generated Content(UGC) คือคอนเท้นท์ที่ผู้บริโภคสร้างขึ้นโดยมีแบรนด์เป็นส่วนหนึ่งในนั้น เพื่อสร้างการรับรู้และการบอกต่อและการแชร์ในวงกว้าง ต่อๆกันไป โดยเทคนิคคือการจัดกิจกรรมประกวด เล่นเกมส์ เพื่อจูงใจให้ผู้บริโภครีวิว บอกต่อ แชร์ต่อ ซึ่งนี่คือจุดสำคัญที่จะสร้างสายสัมพันธ์ที่ดีกับลูกค้า ทำให้ลูกค้ารู้สึกสนิทกับแบรนด์ยิ่งๆขึ้นไป
.
(17) Call-to-action สื่อให้มีการกระทำ
.
Call-to-Action หรือที่เรียกสั้นๆ ว่า CTA คือการเชิญชวนให้มีการกระทำอะไรสักอย่าง ยกตัวอย่าง เช่น “โปรแบบนี้หาไม่ได้อีกแล้ว รีบซื้อเลยตอนนี้” หรือ “สั่งซื้อตอนนี้จะได้รับ ส่วนลดพิเศษทันที” หรือ “กดติดตามเนื้อหาดีๆได้ที่นี่เลย” เป็นต้น ทางจิตวิทยามีผลสูงมากที่จะทำให้คนตอบรับกลับมาเพราะเหมือนตัวช่วยกระตุ้นไม่ให้ลืมและให้กระทำ ฉะนั้นทุกๆโพสต์ต้องประกอบด้วย CTA เสมอ
.
.
และทั้งหมดนี้คือ กลยุทธ์ 17 C ที่จะเปลี่ยนให้คุณสร้างคอนเท้นท์เทพๆได้
.
.
และนี่คือตัวอย่างในคอร์สแค่บางส่วน ที่เนื้อหายังไม่ถูกขยาย ซึ่งเนื้อหานี้เป็นเนื้อหาเพียงแค่ 0.5% ของเนื้อหาในคอร์ส คอนเท้นท์ มาร์เก็ตติ้ง360 ที่ผมกำลังเปิดรับอยู่ในขณะนี้ หากใครอยากเรียนรู้อีก 99.5% ที่เหลือ ห้ามพลาด!! รีบสมัครลงเรียนได้เลย เพราะผมมีโปรโมชั่นสุดคุ้มรอเสิร์ฟอยู่ หากใครอยากเป็นเซียนคอนเทนท์ต้องห้ามพลาดเด็ดขาด
.
.
ติดต่อ ID Line @bizbuddy ได้เลย
.
ต้องรีบนะครับเพราะตอนนี้มีโปรพิเศษสำหรับ 5 คนแรกเท่านั้น
.
แต่หากใครอยากจะเสพความรู้ฟรีๆ ยังไม่อยากเสียตังค์หน้าเพจมีให้มากมาย ฉะนั้นอย่าลืมกดติดตามและติดดาวเพจเพื่อไม่ให้พลาดโอกาสความรู้ดีๆไว้ด้วยนะครับ
.
.
แล้วพบกันในคอร์สครับ
AcTioN Taywagorn
“ทุกสิ่งทุกกอย่าง ในโลกนี้ย่อมมีการบ่งบอกความหมายในตัวของมันเสมอ อยู่ที่คุณจะตีความมันออกมาในรูปแบบไหน”
Popular Courses
Content Marketing
117
0
ดิจิตอล360องศา ปั้นธุรกิจจาก0สู่100
56
0
คอร์ส “เซียนธุรกิจ360องศา O2O
79
0
คอร์ส สร้างโฆษณามืออาชีพ ให้ยอดขายกระจุย
260
0
คอร์สสอนตัดต่อวีดีโอให้ปังจนใครๆก็อยากแชร์
458
0
Web Design & SEO
221
0
คอร์สสอนนำเข้า ส่งออกสินค้า
76
0
บทความ แนะนำ
ความรู้ที่พร้อมเสริฟให้คุณ
Content Marketing by Buddha
คุณเข้าใจแบรนด์อย่างลึกซึ้งแล้วหรือยัง
กลยุทธ์ลดค่าโฆษณาFacebookได้มหาศาล