แค่รู้ทัน Facebook 2018 แบรนด์ปังแน่นอน
.
ปี2018 นี้ต้องรู้หลักการทำงานของ facebook เท่านั้น จึงอยู่รอดได้ หลังจากมาร์คได้ประกาศอัพเดทการปรับ Facebook Algorithms อย่างเป็นทางการ ทำให้คุณต้องปรับตัวตามเท่านั้นจึงจะก้าวตามทัน
.
ซึ่งผมมีกลยุทธ์ให้คุณถึง 2 วิธี ทั้งแบบฟรีและเสียเงิน
>>กลยุทธ์ “รู้เขารู้เรารบยังไงก็ชนะ !!”<<
.
นั่นคือต้องรู้ทันการทำงานของ Facebook Algorithms
เพราะเมื่อคุณทำให้ facebook ชอบได้คุณจะสำเร็จทันที
.
โพสต์นี้ผมจะมอบทั้งวิธีการและวิธีคิดกับคุณไปเต็มๆ
.
เริ่มจากOrganic Reach(โพสต์ที่ไม่เสียตังค์) ที่ใครๆก็บ่นว่าโคตรต่ำตม เพราะคนเห็นประมาณ 0.5-3%ของผู้กดไลค์เพจ ให้เห็นภาพง่ายๆหากคุณมีแฟนเพจ1หมื่น จะมีคนเห็นโพสต์คุณเพียง50-300คนเท่านั้น
.
นี่คือค่าเฉลี่ยสิ่งที่คนส่วนใหญ่พบเจอ เพราะโพสต์ไปคนส่วนใหญ่เลื่อนผ่าน ซึ่งยิ่งถูกเลื่อนผ่านไม่มีใครสนใจมากเท่าไหร่การแสดงฟีดก็ยิ่งต่ำเตี้ยเรี่ยดิน
.
กลับกันหากคุณ ทำให้โพสต์คุณหยุดนิ้วลูกเพจไว้ได้ เปอร์เซ็นต์คนเห็นก็จะสูงขึ้นไปเรื่อยๆทันที ซึ่งไม่แปลกด้วยหากจะมีโอกาสที่คนจะเห็นสูงเกิน100%ของผู้กดไลค์เพจทั้งหมด และปรากฏการณ์นี้จะเกิดได้หากคอนเท้นท์คุณสามารถทำให้คนแชร์ได้ เพราะยิ่งแชร์เท่าไหร่ยิ่งเพิ่มจำนวนทวีคูณให้คนเห็นมากขึ้นเท่านั้น จนบางโพสต์อาจถูกแชร์จนกลายเป็นไวรัลคนเห็นหลายล้านก็เป็นได้
.
ยกตัวอย่างที่ผมเคยทำมาแล้ว เพจผมมีผู้ติดตามตอนนั้นแค่หลักไม่กี่หมื่น แต่เมื่อโพสต์คลิปดันเกิดเป็นไวรัลเข้าถึงคนนับ11ล้าน ยอดวิวต้นฉบับในเพจ5.5ล้าน Engage 6แสนกว่า แชร์นับแสน ซึ่งหากรวมจากทุกเพจที่ดูดคลิปผมไปนับร้อยเพจรวมไม่ต่ำกว่า 25ล้านวิว คนแชร์รวมเกือบ8แสน Engageหลายล้าน ทำให้เพจผมได้ผู้ติดตามเพิ่มมานับแสนฟรีๆ
.
ซึ่งสิ่งนี้จะเห็นว่า มันไม่ได้ขึ้นอยู่กับมาร์คลดOrganic Reach แล้วจะต้องกระทบตลอดไป แต่สิ่งที่สำคัญคือคุณต้องปรับตัวตามมันให้ได้ ซึ่งปัจจัยอยู่ที่ตัว”คุณภาพคอนเท้นท์ล้วนๆ” ซึ่งผู้ที่พร้อมจะปรับตัวและพัฒนาอย่างไม่หยุดเท่านั้นจึงจะเป็นผู้ที่อยู่รอดได้
.
จำไว้นะครับหลักการง่ายๆ มาร์คต้องการพยายามให้คนประทับใจ facebook ในทุกครั้งที่หยิบมือถือขึ้นมาเล่น เพราะฉะนั้นไม่แปลกใจเลยที่คอนเท้นท์ที่ถูกระบบมองว่าไร้ผู้สนใจ จะมีคนเห็นต่ำตม เพราะคิดดู ใจเขาใจเรา หากคุณเปิดเฟซบุ๊คขึ้นมา มีแต่โพสต์อะไรก็ไม่รู้ที่ไม่เกี่ยวกับคุณ คุณจะอยากเล่นต่อไหม
.
Facebook จึงแคร์ตรงนี้มากๆ เพราะหากคนเบื่อที่เปิดมามีแต่คอนเท้นท์ไม่ตรงใจ ใครอยากจะเข้า facebook และถ้าคนคิดแบบนี้สักครึ่งนึง นั่นหมายถึงขาลงและหายะจะเกิดขึ้นกับfacebookโดยไม่ต้องสงสัย ผมจึงเข้าใจfacebook และเข้าใจคนที่เสพด้วยว่าคงน่าเบื่อสุดๆที่ต้องเจอแต่อะไรก็ไม่รู้ในหน้าฟีด
.
ซึ่งวิธีแก้มาร์คก็บอกอย่างชัดเจน คือ “คุณก็ทำ Content ให้ตรงใจผู้คนสิ ทำให้คนอยากเม้นท์แชร์ด้วยตนเองสิ เพราะระบบใหม่เน้นการมีส่วนร่วมด้วยการคุยกันในคอมเม้นท์เป็นสำคัญ และการแชร์ต้องแชร์อย่างมีคุณภาพไม่ใช่แชร์เพราะกิจกรรมเพจบังคับให้แชร์เล่นเกมส์
.
ฉะนั้น facebook จึงใช้ AI ในการตรวจสอบว่าเมื่อแชร์แล้วจะต้องมีคนมาปฏิสัมพันธ์ในแชร์คุณต่ออีกทอดเท่านั้น จึงเป็นการยืนยันว่าโพสต์นั้นมีคุณภาพ ซึ่งถ้าเป็นแบบนี้Facebook จะช่วยเพิ่ม Reach ให้เป็นทวีคูณ สำคัญห้ามบิ้วให้แชร์ด้วยนะ เพราะระบบมันสแกนคำในโพสต์ได้ หากมีการทำลักษณะนี้จะโดนลดการเข้าถึง (Reach) เช่นกัน ซึ่งผมมองว่าไม่กระทบเท่าไหร่หรอก สำหรับสาย Value Content เพราะหากคอนเท้นท์คุณดีจริงเชื่อเหอะ ถ้าของดีใครๆก็ต้องแชร์เองอยู่แล้ว โดยไม่ต้องบิ้ว” และนี่คือสิ่งที่มาร์คคิด จึงทำให้มีการปรับAlgorithmsขึ้น
.
ฉะนั้นหากวันนี้คอนเท้นท์คุณเข้าถึงได้น้อย ก็ไม่ต้องแปลกใจเพราะนั่นหมายถึงคอนเท้นท์คุณยังไม่น่าสนใจ สิ่งนี่เรียกได้ว่าเป็นกฏแห่งเหตุและผล เมื่อทำสิ่งที่ไม่ดีพอก็ไม่แปลกที่จะเป็นปัจจัยไปสู่เหตุแห่งความต่ำตมของReach ซึ่งต้องยอมรับว่านี่ละคือสิ่งที่ยุติธรรมแล้ว ฉะนั้นหลังจากนี้หากอยากอยู่รอดต้องเข้าสู่ยุกต์แห่งการขับเคี่ยวด้วย “Content” อย่างแท้ทรู
.
ซึ่งหลักการทำงานของมันคือ หากต้องการ Organic Reach เยอะๆ คุณต้องทำให้เกิดการ “ปฏิสัมพันธ์ที่มีความหมาย” กับคอนเท้นท์ให้ได้ โดยมาร์คไม่ใช้คำว่า Engagement แต่เรียกว่า Meaningful Social Interactions” หรือ “MSI” แทน ซึ่งมันลึกซึ้งกว่าEngagement คือ ไม่ใช่แค่กดอ่านผ่านๆซึ่งมาร์คเรียกว่าPassive Experience คืออ่านดูแต่ไม่มีActionใดๆกับโพสต์ และไม่ใช่แค่กดไลค์ธรรมดาแล้วเลื่อนผ่านๆ แต่ต้องมีการใช้เวลาอ่านหรือดูคอนเท้นท์นั้นๆด้วย โดยตัวชี้วัด MSI นี้ประกอบไปด้วย การแชร์ คอมเม้นท์ การส่งข้อความ และ การไลค์/reaction (พวกหน้าโกรธ หน้าเลิฟ หัวเราะ) นั่นเอง โดยการแชร์ คอมเม้นท์ และส่งข้อความ จะมีน้ำหนักมากกว่าการไลค์และ reaction ที่เลื่อนผ่านอย่างรวดเร็ว
.
โดยผมได้สรุป สิ่งที่ Facebook ใช้ในการคำนวนการแสดงผลใน News Feed ของโพสต์ซึ่งเรียกว่า Edgerank ซึ่งประกอบด้วย
.
Edgerank = Affinity x Power x Fresh x Interest
.
Affinity = ระดับความสัมพันธ์ของคุณกับเพื่อนหรือลูกเพจ
Power = แรงกระตุ้นอันทรงพลังที่เกิดขึ้นกับโพสต์ของคุณ
Fresh = อายุของโพสต์หรือความสดใหม่ของโพสต์
Interest = ความสนใจในเรื่องที่ใกล้เคียงกัน
.
(1.) Affinity
.
คือ ปฏิสัมพันธ์ ระหว่างคุณกับเพื่อน(สำหรับโปรไฟล์) หรือลูกเพจ(สำหรับแฟนเพจ) โดยมาร์คจะให้ความสำคัญโชว์ฟีดกับเพื่อนก่อนเพจเสมอ ซึ่งหลักการทำงานของมัน ถ้าคุณโพสต์อะไรลงไปสักอย่างในตอนนี้ มาร์คจะเอาสถิติโพสต์ในอดีตของคุณมาประมวล ว่าควรจะมากระจายโชว์ในหน้าฟีดให้เพื่อนๆหรือลูกเพจของคุณให้คนไหนเห็นบ้าง ซึ่งมันจะกระจายให้มากหรือน้อยขึ้นอยู่กับบุญเก่า หรือคะแนนสะสมที่คุณมีในอดีต เพราะทุกๆโพสต์จะมีคะแนน Affinity คิดเป็นค่าเฉลี่ยๆเสมอๆ ยิ่งมีคะแนนสูงเท่าไร โพสต์ของคุณก็จะถูกนำมาแสดงให้เพื่อนๆเห็นมากขึ้นเท่านั้น ซึ่งปัจจัยในการนำมาตีเป็นคะแนนได้แก่
.
1.1 คนที่เกี่ยวข้อง หากเป็นโปรไฟล์ คือเพื่อนของคุณ หากเป็นเพจ ก็คือคนกดไลค์เพจคุณ นั่นหมายถึงหาก ไม่เป็นเพื่อน หรือไม่ได้กดติดตามเพจก็จะไม่มีทางเห็นโพสต์โดยตรง แต่ถ้าเห็น จะเห็นได้จากการแชร์ผ่านจากเพื่อนอีกต่อนึงเท่านั้น
.
1.2 เค้าให้ความสำคัญกับคุณแค่ไหน หากเป็นโปรไฟล์ต้องตั้งคุณเป็นเพื่อนสนิท หากเป็นเพจคือเค้าต้องกดSee first เพจคุณ
.
1.3 มีปฏิสัมพันธ์ที่มีความหมาย (MSI) ด้วยเป็นประจำ เรียกว่า Meaningful Social Interactions” หรือ “MSI” โดยตัวชี้วัด MSI นี้ประกอบไปด้วย การแชร์ คอมเม้นท์ การกดอ่าน กดดูคลิป การส่งข้อความ และ การไลค์/reaction (พวกหน้าโกรธ หน้าเลิฟ หัวเราะ) โดยการแชร์ คอมเม้นท์ และส่งข้อความ จะถูกให้น้ำหนักมากกว่าการไลค์และ reaction ซึ่ง facebook จะประเมินว่า หากมีการปฏิสัมพันธ์ในสิ่งนั้น แสดงว่าคนที่มาปฏิสัมพันธ์สนใจคอนเท้นท์ของเพื่อนคนนี้หรือเพจนี้ ซึ่งหากมีการโพสต์จากเพื่อนคนนี้หรือเพจครั้งใหม่ คนที่เคยมีปฏิสัมพันธ์ จะได้เห็นเสมอ
.
แต่สำหรับเพจการเห็นได้ต่อเนื่อง นั่นคือต้องมีปฏิสัมพันธ์อย่างต่อเนื่องเท่านั้น ยกตัวอย่างให้เห็นภาพ คุณแปลกใจไหม เพจอย่าง Youlike ที่คุณเคยกดไลค์ทำไมไม่เคยโชว์หน้าฟีดคุณเลย แต่ลองดูนะให้คุณเข้าไปเม้นท์และแชร์คลิปในYoulike จากนั้นเมื่อคุณเล่นฟีดครั้งต่อไปคุณจะได้เห็น คลิปในYoulike โชว์ขึ้นมา ซึ่งหากคุณมี MSI อย่างต่อเนื่อง มันก็จะโชว์ฟีดให้คุณเห็นทุกๆวัน แต่หากวันไหนคุณเลื่อนผ่านสัก 2-3ครั้ง คุณก็จะไม่ได้เห็นคลิปจากYoulike อีกเลย ฉะนั้นการเกิดปฏิสัมพันธ์สำหรับเพจต้องต่อเนื่องเท่านั้น
.
1.4 มีเพื่อนร่วมกันเยอะ เพราะมันมองว่าการมีเพื่อนร่วมกันยิ่งมากเท่าไหร่แสดงว่ามีความเกี่ยวข้องกันแน่นอน จึงถูกให้ความสำคัญในการโชว์ฟีดเช่นกัน (อันนี้มีผลเฉพาะโปรไฟล์ส่วนตัว)
.
และนี่คือ4ปัจจัยที่นำมาให้คะแนนAffinity
.
.
(2.) Power
.
คือ พลังแห่งAction นั้นคือหากคุณโพสต์คอนเท้นท์ลงในเพจ คอนเท้นท์ของคุณนอกจากเกิดจากปัจจัยทางด้านAffinityแล้ว มันยังเกิดจากการทวีกำลัง ถ้ามีการกดดู ใช้เวลาอยู่กับคอนเท้นท์นั้นนานๆ มีการกดแชร์ หรือคอมเม้นท์จำนวนมาก หรือไลค์ขึ้นพรวดในระยะเวลาอย่างรวดเร็วที่โพสต์ โดยเฉพาะยิ่งคอมเม้นท์และแชร์ไหลไวเท่าไหร่มันก็จะยิ่งกระพือเร่งส่งไปยังหน้าฟีดให้มากขึ้นเท่านั้น เพราะมาร์คมองแล้วว่าโพสต์นี้คนต้องชอบแน่นอน เพราะงั้นยิ่งคนชอบก็ยิ่งต้องช่วยดัน คนจะได้รู้สึกดีกับเฟซบุ๊คที่มีแต่สิ่งที่ถูกใจ และนี่ละคือเคล็ดลับสำคัญที่จะทำให้เกิดไวรัลได้นั่นเอง
.
ซึ่งพลังที่สูงสุดคือหากมีการคอมเม้นท์ตอบโต้กันอย่างมากมายจะยิ่งทรงพลัง และหากมีการแชร์และมีการMSI กับคอนเท้นท์ที่ถูกแชร์ไปต่อไปเป็นทอดๆ ยิ่งจะยิ่งทรงพลังขึ้นทวีคูณอีกหลายเท่า
.
.
(3.) Fresh
.
คอนเท้นท์ที่คุณโพสต์ต้องมีความสดใหม่ หลักการง่ายๆเลยยิ่งเก่าคนยิ่งเบื่อ ยิ่งเห็นบ่อยในหลายๆที่คนยิ่งเอือม เพราะฉะนั้นคอนเท้นท์ที่คุณโพสต์ยิ่งสดใหม่ ไม่เคยมีใครทำแบบนี้มาก่อน ก็ยิ่งปัง จริงๆไม่ต้องมองในเรื่องของAlgorithms ด้วยซ้ำแต่มันเป็นหลักของเหตุและผลอยู่แล้ว คนมักชอบจากสิ่งที่ไม่เคยรู้มาก่อน เพราะฉะนั้น คอนเท้นท์ต้องแปลกไม่ได้ถูกก็อปมา ดูดมาโพสต์ๆกันต่อ สิ่งนี้สำคัญมากอย่างกลุ่มตัวแทนจำหน่ายหากก็อปมาแล้วกระจายโพสต์ต่อๆกันไป คนท้ายๆจะถูกลดการเข้าถึงทันที เพราะFaceจะประเมินหากคนคนนั้นเคยเห็นโพสต์นี้แล้วคนนั้นก็จะไม่ได้เห็นอีกนั่นเอง
.
.
(4.) Interest
.
คอนเท้นท์ที่คุณโพสต์จะถูกเลือกแสดงให้กับคนที่สนใจในเรื่องนั้นๆ ในช่วงเวลานั้นๆ เช่น ถ้าคุณพึ่งสนใจ ด้วยการคลิ๊กดูคลิปหมาแมวน่ารัก พร้อมแชร์หรือคอมเม้นท์ สักพักคุณก็จะได้พบกับฟีดหมาแมวจากเพจอื่นๆที่คุณเคยกดติดตามโชว์ขึ้นมาทันที เพราะเฟซมันมองว่า คุณกำลังให้ความสนใจในเรื่องนี้อยู่ หากนำคอนเทนท์ที่เกี่ยวข้องกับสิ่งที่คุณสนใจ ณตอนนั้น คุณต้องชอบแน่ๆ มันจึงพยายามโชว์เพิ่มให้เห็น ว่ายังมีอีกนะดูสิ ชอบใช่ไหมล่ะ งั้นดูไปเยอะๆเลย จะได้ประทับใจFacebook ไปนานๆ จะได้อยากเข้ามาเล่นในทุกๆวันเพื่อค้นหาเรื่องราวที่ชอบ
.
ฉะนั้น คุณต้องพยายามสร้างจุดยืนของเพจให้ชัดเจน เพราะถึงแม้ผู้ติดตามคุณจะไม่เคยเห็นคุณในฟีดมานานแล้ว แต่เมื่อเค้าบังเอิญไปกดดูเรื่องที่เกี่ยวข้องขึ้นมาคุณก็ยังมีโอกาสฟื้นจากหลุมได้อีกครั้งเช่นกัน การหายไปจากฟีดจึงไม่ได้หายไปถาวรตลอดกาล ยังมีโอกาสกลับมาได้เช่นกัน แต่ที่สำคัญการกลับมาต้องทำให้ผู้เสพประทับใจให้ได้ จะได้อยู่กับเค้าในฟีดไปนานๆ ฉะนั้นจะเห็นว่า “Content ล้วนๆ” ที่ทำให้คนสนใจหรือไม่
.
.
และนี่คือหลักการทำงานของFacebook Algorithms
.
ซึ่งเมื่อคุณรู้หลักการทำงานของ Facebookแล้ว ต่อมา ผมได้รวบรวมเคล็ดลับเทคนิควิธีการแก้ทางมาให้
.
ซึ่งเคล็ดลับการแก้ให้คนเห็นเยอะๆ มีด้วยกัน 12 เทคนิคคือ
.
1 ต้องประชาสัมพันธ์ให้ลูกเพจกดSee first หรือเห็นโพสต์ก่อนให้ได้มากที่สุด จะช่วยได้เยอะมาก
.
2 สร้างคอนเท้นท์คุณภาพ ให้ตรงใจกลุ่มเป้าหมาย เพื่อให้เกิดการ แชร์บอกต่อ หรือคอมเม้นท์เกิดขึ้นให้ได้
.
3 Facebook Live ช่วยได้ เพราะการLive หากคุณมีเทคนิคดีๆ สามารถทำให้เกิดการแชร์ และก่อเกิดการคอมเม้นท์และปฏิสัมพันธ์กันทางตรงอยู่ตลอดเวลาในขณะไลฟ์ ซึ่งLive เป็นคอนเท้นท์ที่ทรงพลังต่อ MSI มากที่สุด แต่ที่สำคัญต้องมีเทคนิคการสร้างปฏิสัมพันธ์กับลูกเพจด้วยนะจึงสำเร็จได้
.
4 เทคนิคสำหรับโปรไฟล์ส่วนตัว คุณต้องสร้างปฏิสัมพันธ์กับเพื่อนคุณอยู่เสมอๆ ยิ่งอยากให้เพื่อนคนไหนเห็นก็ต้องไป คอมเมนท์ กดไลค์ กดแชร์ให้เค้า บ่อยๆ หากอยากให้เพื่อนเห็นจำนวนมากก็ต้องทำแบบนี้กับเพื่อนๆให้มากที่สุด เพื่อเป็นการเพิ่มAffinity วิธีนี้ช่วยได้เยอะ
.
5 เทคนิคสำหรับเพจ หากอยากให้คนเห็นมากขึ้น ต้องตอบคอมเม้นท์ไวๆ ตอบโต้ทุกคนที่มาคอมเม้นท์ เพราะยิ่งตอบเม้นท์มันยิ่งกระตุ้นการแสดงให้คนที่เข้ามาเม้นท์เห็น ยิ่งหากลูกเพจมีการแชร์ คุณก็ต้องตามไปกดไลค์และเม้นท์ขอบคุณที่แชร์ถึงต้นตอการแชร์เลยมันช่วยได้แน่นอน
.
6 ดึงคนเข้า Facebook Group ช่วยได้อีกช่องทาง นั่นหมายถึงให้ดึงลูกเพจที่เป็นแฟนจริงๆเข้ากลุ่ม พร้อมกับแนะนำให้เค้ากดเลือกแจ้งเตือนให้เห็นโพสต์ทั้งหมด จะเป็นการแก้ทาง พวกกดSee first ตัน30เพจ/บุคคล ได้เลย
.
7 ใช้โปรไฟล์ส่วนตัวให้เป็นประโยชน์ อย่างที่รู้ๆว่ามาร์คให้ความสำคัญโชว์เพื่อนมากกว่าเพจ ฉะนั้น ถึงเวลาเปิดหน้าให้ลูกเพจได้ติดตามคอนเท้นท์จากโปรไฟล์จะช่วยในการเข้าถึงได้เช่นกัน นอกจากนั้นยังได้สร้างPersonal Branding ได้ทางอ้อมอีกด้วยนะ
.
8 ทุกโพสต์ต้องมั่นใจว่ามีผลตอบรับที่ดี อย่าโพสต์แบบไร้แก่นสาร เพราะการที่ลูกเพจเลื่อนผ่านบ่อยๆ คะแนนก็ต่ำลงเรื่อยๆ และกว่าจะกู้คะแนนคืนมาด้วยโพสต์ที่คนชอบจริงๆเหนื่อยบอกเลย เพราะมันต้องมาสะสมบารมีใหม่อีกครั้งนั่นเอง สำคัญคนที่เคยเลื่อนผ่านบ่อยๆ จนเฟซปิดการโชว์ไปแล้ว คงไม่มีโอกาสได้เห็นคอนเท้นท์เจ๋งๆที่คุณต้องการปล่อยเป็นไฮไลท์อีกแล้ว ต้องเรียกว่าโคตรเสียโอกาส
.
9 รูปภาพ คลิปวีดีโอ ต้องสดใหม่เท่านั้น เพราะ Facebook จะมี ระบบAI ตรวจจับได้ว่าภาพนี้ถูกใช้ไปกี่ครั้งกี่เพจ ซึ่งFacebook จะพยายามไม่ส่งภาพซ้ำ คลิปซ้ำให้กับคนที่เคยเห็นภาพนั้นๆแล้ว เพราะถูกมองว่าหากส่งซ้้ำบ่อยๆจะเข้าข่ายกลายเป็นสแปมได้ ทำให้รูปที่ถูกคนใช้เยอะๆ เช่นรูปจากแบรนด์ให้ตัวแทนไปใช้ คนที่ใช้รูปนี้คนท้ายๆการเข้าถึงจะน้อยแบบผิดปกติทันที ฉะนั้นหากจะโพสต์ในแต่ละครั้งต้องเปลี่ยนรูปเปลี่ยนคลิปไปเรื่อยๆ
.
10 ปลุกผีโพสต์เก่าให้คืนชีพ ด้วยการขุดโพสต์ ด้วยการเข้าไปกดไลค์ แชร์ คอมเมนต์โพสต์เก่าๆนั้น เพื่อที่จะทำให้โพสต์นั้นถูกนำมาโชว์บนหน้า Newsfeed อีกครั้งหนึ่ง ซึ่งถ้าเป็นโพสต์ที่มีคะแนนของ Affinity และ Power ในอดีตที่ดีมากๆอยู่แล้วการขุดโพสต์จะช่วยให้คุณกระตุ้นการกระจายออกไปอีกครั้งได้อย่างยอดเยี่ยมเลยทีเดียว
.
11 ให้ความสำคัญกับ Platform อื่นๆบ้างก็ได้ อย่าไปยึดติดกับ facebook เพียงอย่างเดียว Digital Marketing ไม่ใช่แค่ facebook แต่ยังรวมถึง Website ที่เป็นบ้านแท้ๆของคุณ ซึ่งสามารถใช้กลยุทธ์เชิงรับ ด้วยการทำSEO หรือ Google Adwords เพื่อให้ติดหน้าค้นหาในGoogle หรือแม้แต่ทำการตลาดเชิงรุกเหมือน Facebook ก็ยังทำได้ ด้วย Google Display Network (GDN) ทำให้สามารถขึ้นโชว์โฆษณาของคุณตามเว็บต่างๆหรือแม้แต่โชว์ใน Youtube แถมยังทำRemarketing ได้อีก ซึ่งไม่เพียงแค่นี้ยังมี Line Marketing Email Marketing ที่ยังให้คุณเล่นได้ ฉะนั้นอย่าไปยึดติดแค่อย่างเดียวเลย แต่จงค้นหาลู่ทางอย่างไม่หยุดหย่อนมันช่วยธุรกิจคุณได้อย่างแน่นอน
.
12 อัพเดทเทรนด์ พัฒนาแบรนด์ พัฒนาคอนเท้นท์ พัฒนาสกิลอย่างต่อเนื่องอย่างไม่มีที่สิ้นสุด เพราะการพัฒนาไม่มีหยุด และก้าวตามเทรนด์และเทคโนโลยีอยู่เสมอ ต่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ คุณก็จะเป็นคนกลุ่มแรกๆเสมอที่ปรับตัวได้ก่อนคนอื่นๆ ฉะนั้นนี่คือจุดที่สำคัญที่สุด
.
.
ต่อมามาดูวิธีการทำงานของ Facebook ads Algorithms ประเภท Paid Reach(การเข้าถึงด้วยการเสียเงินโฆษณา)
.
สิ่งนี้ใครๆก็ต้องเจอ เพราะเป็นหลักการเดียวกับInterest ของOrganic Reach ต่างกันแค่เปลี่ยนมาเป็นขึ้นโฆษณาแทน เช่นหากช่วงนั้นคุณติดตามและชอบกดดูคอนเท้นท์เกี่ยวกับลดน้ำหนัก ช่วงเวลานั้นคุณก็จะเจอเเต่โฆษณาผลิตภัณฑ์ลดน้ำหนักเต็มไปหมด ซึ่งปัจจัยที่มองเห็นโฆษณามันขึ้นอยู่ที่เจ้าของแบรนด์ที่ยิงว่าเลือกกลุ่มเป้าหมายตรงกับคุณหรือไม่ โดยปัจจัยตามนี้
.
– ตำแหน่งที่ตั้งตรงกับที่คุณอยู่ เช่นเลือกจังหวัดหรือประเทศที่คุณอยู่
.
– ช่วงอายุตรงกับคุณ เช่นเค้าเลือก 20-40 คุณอยู่ในช่วงนี้พอดี
.
– ความสนใจ พฤติกรรม และข้อมูลประชากรตรงกับสิ่งที่คุณมี เช่นช่วงนั้นคุณสนใจเรื่องลดน้ำหนักชอบกดดูบ่อยๆ พฤติกรรมเค้าเซทเลือกคนใช้ระบบ IOS และคุณก็ใช้ไอโฟนพอดี ข้อมูลประชากรหากเค้าเลือกเป็นคนโสด หากคุณตรงกับเป้าที่เค้าเลือกพอดี คุณก็จะเห็นโฆษณานี้
.
และนี่ละคือการทำงานของ Facebook Ads Algorithms จะเห็นว่ามันเจ๋งมากๆในการชี้เป้าลูกค้าให้เราได้อย่างแม่นยำ
.
แต่ผมว่าคุณคงไม่แฮปปี้แน่ๆกับค่าโฆษณาที่แสนจะแพง
.
ซึ่งปัจจัยที่ทำให้โฆษณาแพงมีด้วยกัน 4ประเด็นคือ
.
1 คุณไม่รู้จักกลุ่มเป้าหมายคุณดีพอ คือการที่คุณไม่สามารถรู้ถึงConsumer insight ของสินค้าคุณได้อย่างถ่องแท้ ทำให้การเลือกกลุ่มเป้าหมายผิด เมื่อส่งโฆษณาไปยังกลุ่มที่เค้าไม่ได้สนใจในเรื่องนี้ ต่อให้คอนเท้นท์คุณดีเค้าก็เลื่อนผ่าน เพราะไม่ได้เกี่ยวอะไรกับเค้า ไม่ได้มาช่วยอะไรเค้าได้ นี่จึงเป็นปัจจัยแรกที่ค่าโฆษณาทำไมถึงแพง ซึ่งเรื่องการสแกนถึงรากของConsumer insight ผมจะเขียนในบทความต่อๆไปรอติดตามได้เลย
.
2 ไม่มีสกิลและทักษะในการใช้ Facebook Ads ทำให้ตั้งค่ามั่วไปหมด ซึ่งจริงๆเรื่องพวกนี้ผมแนะนำให้ศึกษาเองได้เลยตามร้านหนังสือหรือคอร์สต่างๆก็มากมายเกลื่อนไปหมด เรื่องทักษะพวกนี้คือวิธีการ หาเรียนได้เลยเพราะใครสอนก็ได้ไม่ใช่เรื่องสำคัญ แต่ประเด็นสิ่งสำคัญสุดๆ มันอยู่ที่กลยุทธ์ที่ออกจากวิธีคิด นี่ละคือจุดชี้วัดความสำเร็จใครมีกลยุทธ์ที่เหนือกว่าจะชนะได้เสมอ ซึ่งหากใครอยากได้ทั้งวิธีการและวิธีคิดผมมีคอร์สสอนเช่นกัน มาเรียนรู้ด้วยการสอบถามเข้ามาได้เลย
.
3 ไม่รู้หลักการทำงานของAds นั่นคือ Facebook Ads จะใช้วิธีประมูลแข่งราคากันเพื่อแย่งชิงในการขึ้นหน้าฟีด ยิ่งกลุ่มเป้าหมายที่คุณเลือกเป็นMass มากเท่าไหร่ แน่นอนการแข่งขันยิ่งดุเดือดมากเท่านั้น นี่จึงเป็นสาเหตุว่าทำไมAds ถึงแพงขึ้น นั่นเพราะธุรกิจที่เกิดเพิ่มขึ้นในทุกวันมาลุมกันแย่งยิงกลุ่มเป้าหมายเดียวกันกับคุณนั่นเอง
.
และนี่ละที่เป็นเหตุให้บางคนพลาด เพราะพยายามทำ A/B Testing แต่ดันไม่เข้าใจหลักการทำงานของAds ดันลุมยิงไปที่กลุ่มเป้าหมายเดียวกัน ซึ่งนั่นเท่ากับว่าเป็นการเปิด Bid หรือแย่งกันประมูลกันเอง เพื่อแย่งกันโชว์หน้าฟีด สุดท้ายมาบ่นโฆษณาแพงขึ้น ซึ่งแน่นอนมันก็ต้องแพงขึ้นอยู่แล้วก็เล่นใช้ Ads ประมูลแข่งกันโชว์ จะไม่แพงขึ้นได้อย่างไร ฉะนั้นขอแค่คุณเข้าใจหลักการทำงานของ Adsได้ คุณก็สามารถวางกลยุทธ์ให้ Adsคุณอย่างคุ้มค่าและประหยัดขึ้นได้อย่างแน่นอน
.
4 ข้อนี้สำคัญสุดๆ ประเด็นคือต่อให้คุณยิงAds เก่งและแม่นแค่ไหน ก็อาจไม่ได้ช่วยอะไรเลยหากคุณนำเสนอคอนเท้นท์ไม่น่าสนใจโอกาสถูกเลื่อนผ่านจะสูงมาก ซึ่งปัจจัยถูกเลื่อนผ่านเกิดจาก รูปหรือปกคลิปไม่น่าสนใจ แคปชั่นไม่โดนใจ และเมื่อโฆษณาส่งไปมีแต่คนเลื่อนผ่าน มาร์คจะประมวลทันทีว่าAdsของคุณไม่มีคุณภาพ ต้องลดการเข้าถึงไม่เช่นนั้นส่งไปมากๆคนรำคาญแน่ๆ มาร์คจึงทำการลดReach และแน่นอน การลดReachลงแต่เงินไม่ได้ลดลงตาม ค่าโฆษณาจึงต้องจ่ายแพงอย่างมหาศาล เพราะต้องแบกต้นทุนกับการเข้าถึงที่ต่ำตมสุดๆ นี่จึงเป็นปัจจัยหลักๆเลยที่ทำไมค่าโฆษณาของคุณจึงแพง!!
.
เคล็ดลับที่ผมจะให้คือ การที่คุณยิงแม่นยังไม่พอคอนเท้นท์คุณก็ต้องสัมพันธ์กับกลุ่มเป้าหมาย ด้วยการนำเสนอ ต้องคำนึงว่า “ลูกค้าจะได้อะไรจากAdsของคุณ ไม่ผิดถ้าคุณจะโพสต์ขายแบบฮาร์ดเซลล์ แต่การนำเสนอมันต้องตอบโจทย์ให้กลุ่มเป้าหมายคุณได้เท่านั้น ย้ำต้องตอบโจทย์ความต้องการได้เท่านั้น และสิ่งเหล่านี้ ต้องมีทักษะด้าน Content Marketing อย่างสูง
.
หากวันนี้คุณรู้สึกว่าReachโคตรต่ำตม คุณไม่ต้องโทษมาร์คว่าไม่ยุติธรรม เพราะมาตรฐานนี้ถูกใช้กับทุกๆเพจอย่างเท่าเทียม แต่สิ่งที่เป็นตัวการทำให้เกิดความสำเร็จและล้มเหลว เรื่องนี้ปัจจัยหลักทั้งหมด มาจากคอนเท้นท์ล้วนๆ และสิ่งที่ผมเสนอไปในบทความนี้ มันตอกย้ำได้ชัดเจนว่า “Content is King ตลอดกาล”
.
.
หากคุณอยากเป็นเซียนคอนเท้นท์และเทพFacebook ads ผมมีคอร์สสอนครับ สนใจ
สอบถามกันเข้ามาได้เลยที่ข้อความเพจ
หรือ Line@ ID : @bizbuddy
.
.
เนื้อหาโดย AcTioN
AcTioN Taywagorn
“ทุกสิ่งทุกกอย่าง ในโลกนี้ย่อมมีการบ่งบอกความหมายในตัวของมันเสมอ อยู่ที่คุณจะตีความมันออกมาในรูปแบบไหน”
Popular Courses
Content Marketing
117
0
ดิจิตอล360องศา ปั้นธุรกิจจาก0สู่100
56
0
คอร์ส “เซียนธุรกิจ360องศา O2O
79
0
คอร์ส สร้างโฆษณามืออาชีพ ให้ยอดขายกระจุย
260
0
คอร์สสอนตัดต่อวีดีโอให้ปังจนใครๆก็อยากแชร์
458
0
Web Design & SEO
221
0
คอร์สสอนนำเข้า ส่งออกสินค้า
76
0
บทความ แนะนำ
ความรู้ที่พร้อมเสริฟให้คุณ
กลยุทธ์ลดค่าโฆษณาFacebookได้มหาศาล
คุณพร้อมแล้วหรือยังที่จะเป็นเจ้านายตัวเอง
สร้างแบรนด์และยอดขายให้ปังด้วย กลยุทธ์5A
Concept การสร้างนวัตกรรมใหม่