4กลยุทธ์ หาช่องสร้างธุรกิจ

4 กลยุทธ์หาช่องว่างสร้างธุรกิจ (Niche Strategy)

.
หากคุณใช้กลยุทธ์นี้ก็จะ
หมดยุค “ปลาใหญ่กินปลาเล็ก”
.
แต่ถ้าหากคุณมีแต่ไอเดียไม่ลงมือทำสักที ก็เตรียมโดนกิน
.
เพราะยุคนี้ คือยุค “ปลาเร็วกินปลาช้า”
.
เพราะฉะนั้น เมื่อได้ไอเดีย จงเริ่ม”ทำทันที”
.
หากคุณคิดจะสร้างธุรกิจด้วยการตามคนส่วนใหญ่ Mass Market ซึ่งเป็นทะเลเลือด(Red Ocean) ต้องยอมรับกับศึกหนักที่มีคู่แข่งจำนวนมากที่แข็งแกร่งต่างจับจองพื้นที่กันเกือบหมดแล้ว ซึ่งหากคุณไม่แกร่งพอ ยากเหลือเกินที่จะแย่งพื้นที่ได้
.
แต่ก็ใช่ว่าจะไม่มี แต่ปัจจัยแห่งชัยชนะมันอยู่ที่กลยุทธ์ชั้นสูงที่ต้องเหนือกว่าคู่แข่งเท่านั้น หากใครพร้อมสู้ก็มีสิทธ์เป็นผู้ชนะได้ แต่เหนื่อยรากเลือดแน่นอน
.
ผมจึงอยากให้คุณคำนึงถึงว่า ตราบใดที่ไลฟ์สไตล์คนต่างกัน แนวคิดต่างกัน ฐานะต่างกัน แสดงว่ามันยังมีช่องว่างทางการตลาดอีกมากมาย และช่องว่างนั้นเรียกว่า Niche Market ซึ่งเป็นตลาดเฉพาะกลุ่ม การแข่งขันน้อย หรือที่เรียกว่า Blue Ocean กลยุทธ์น่านน้ำสีฟ้า
.
ซึ่งผมจะให้คุณทำความรู้จักกับ Niche Market ด้วยการเปรียบเทียบกับ Mass เพื่อให้เข้าใจอย่างลึกซึ้งในทุกๆด้าน ดังนี้

10 ข้อเปรียบเทียบข้อแตกต่าง Niche VS Mass

.
1 การแข่งขัน / Niche แข่งขันน้อย เพราะมีผู้ประกอบการไม่กี่ราย และไม่ใช่รายใหญ่ VS Mass การแข่งขันรุนแรง บางตลาดแม้ว่าจะมีผู้ประกอบการน้อยราย แต่เป็นรายใหญ่ที่มีเงินทุนมาก
.
2 เงินลงทุน / Niche ลงทุนน้อย VS Mass ลงทุนสูงเพื่อวิจัยและพัฒนาสินค้า รวมทั้งงบการตลาด
.
3 รูปแบบสินค้า / Niche สนองลูกค้าเฉพาะกลุ่ม VS Mass สินค้าเป็นแบบทั่วๆไป ผลิตเพื่อใช้กับกลุ่มลูกค้าเป็นจำนวนมาก
.
4 การกำหนดราคาสินค้า / Niche ตั้งราคาได้สูงกว่าตลาดทั่วไป VS Mass มีการแข่งขันด้านราคาสูง
.
5 กลุ่มลูกค้าเป้าหมาย / Niche เฉพาะกลุ่มที่มีรสนิยมและความต้องการคล้ายคลึงกัน VS Mass ลูกค้าทั่วไป
.
6 มูลค่าตลาด / Niche ไม่สูงมากนัก แต่ก็มากพอที่จะสร้างรายได้และผลกำไรแก่องค์กร VS Mass สูง มีโอกาสสร้างรายได้แก่องค์กร
.
7 กำไร / Niche กำไรสูง ใช้งบประมาณการตลาดน้อย และไม่ต้องแข่งขันทางด้านราคากับคู่แข่ง VS Mass กำไรอาจจะไม่สูงมาก เพราะต้องทุ่มงบการตลาดไปสู่ลูกค้าทุกกลุ่ม รวมทั้งยังต้องแข่งขันด้านราคากับคู่แข่ง
.
8 ความต้องการและรสนิยมของลูกค้า / Niche มีแนวคิดและความสนใจและความต้องการสินค้าที่คล้ายคลึงกัน VS Mass รสนิยมและความสนใจแตกต่างกันทำให้มีความต้องการสินค้าที่หลากหลาย
.
9 การโฆษณา / Niche ใช้งบประมาณน้อยเข้าถึงเป้าหมายที่ต้องการได้ตรงกลุ่ม VS Mass ใช้งบประมาณมากเพื่อให้เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้ทุกกลุ่ม
.
10 ส่วนแบ่งตลาด / Niche ยังไม่ถูกครอบครองจากผู้ประกอบการรายใดอย่างชัดเจน VS Mass ถูกครอบครองโดยผู้ประกอบการรายใหญ่
.
.
จากข้อเปรียบเทียบความต่างเหล่านี้ คุณจะเห็นว่า Niche เหมาะมากสำหรับผู้ประกอบการรายเล็กถึงกลาง หากคุณยังมีทุนไม่หนาพอผมขอแนะนำNicheไปก่อน แล้วเมื่อคุณเก๋าแล้ว ค่อยขยายไลน์สินค้าไป Mass ก็ยังไม่สาย

ซึ่งผมได้สรุปกลยุทธ์การหาช่องว่างเพื่อโดนใจกลุ่มเฉพาะ เพื่อจะได้เป็นไอเดียให้กับธุรกิจของคุณได้ ซึ่งมีด้วยกัน 4กลยุทธ์ ช่องว่างดังนี้
.
(1) กลยุทธ์ช่องว่างด้านสินค้า (Product Niche)
.
ซึ่งองค์ประกอบมีดังนี้
.
– เป็นสินค้านวัตกรรมใหม่ๆ
.
– เป็นสินค้าแปลกแหวกแนวไม่เหมือนใคร
.
– เป็นสินค้าที่หาแหล่งซื้อได้ยาก
.
– เป็นสินค้าที่ผู้คนไม่กล้าซื้อที่หน้าร้านโดยตรงอาจจะเพราะเหตุผลบางอย่าง
.
– ชื่อสินค้าเป็นศัพท์เฉพาะหรือเป็นชื่อที่ไม่คุ้นหูคนทั่วไป
มีคู่แข่งน้อยมาก
.
.
(2) กลยุทธ์ช่องว่างด้านลูกค้า ( Customer Niche)
.
ซึ่งองค์ประกอบมีดังนี้
.
– ตอบสนองเพศที่สาม เช่น ทอม เกย์ สาวสอง ตัวอย่างธุรกิจเช่น เสื้อผ้าทอม เกย์ หรือบาร์เกย์ สถานที่สำหรับพบปะหาคู่เป็นต้น
.
– ตอบสนองวัย เช่น ผู้สูงอายุ วัยทารก ตัวอย่างธุรกิจเช่น เสื้อผ้าผู้สูงอายุ เสื้อผ้าแฟชั่นแหวกแนวสำหรับวัยเด็ก นมเสริมสร้างกระดูกเพื่อผู้สูงอายุ เป็นต้น
.
– ตอบสนองไลฟ์สไตล์ เช่น กลุ่มExtreme สาวกเพลง หรือชอบสัตว์เลี้ยง คนไม่ดื่มเหล้าแต่อยากเที่ยว ตัวอย่างธุรกิจเช่น ขายอุปกรณ์Extreme เสื้อผ้าสัตว์เลี้ยง คาเฟ่หมาแมว เสื้อผ้าสไตล์ K pop เปิดผับคาเฟ่กาแฟ นม เป็นต้น
.
– ตอบสนองสรีระ เช่น คนอ้วน คนผอม คนท้อง คนเตี้ย ตัวอย่างธุรกิจเช่น เสื้อผ้าสำหรับคนท้อง เสื้อผ้าสำหรับคนอ้วน ยาช่วยให้เจริญอาหารสำหรับคนผอม หรือ อุปกรณ์ช่วยให้สูงขึ้น เป็นต้น
.
.
(3) กลยุทธ์ช่องว่างด้านราคาต่ำ ( Low Price Niche)
.
คือการเจาะลูกค้ากลุ่มรายได้น้อย อย่างที่รู้ๆผู้มีรายได้น้อย หาเช้ากินค่ำต้องใช้รายได้วันชนวัน เดือนชนเดือน กลยุทธ์นี้จึงเกิดขึ้น เพื่อมาช่วยพวกเค้า ได้แก่
.
– ผลิตสินค้าราคาต่ำกว่าท้องตลาดเพื่อเจาะกลุ่มเป้าหมายโดยตรง
.
– สามารถแบ่งผ่อนจ่ายได้ ไม่ว่าจะเป็นรายอาทิตย์หรือรายเดือน
.
– แบ่งส่วนให้น้อยลง กลยุทธ์นี้ใช้เทคนิคเดียวกับเครื่องสำอางค์ในเซเว่น แบ่งใส่ซองในราคาที่เข้าถึงได้ทุกคน หรือเช่นหากขายอาหาร ก็แบ่งขายเป็นกล่องเล็กลงในราคา 20บาท หรือแกงถุงละ20 เป็นต้น
.
.
(4) กลยุทธ์ช่องว่างด้านความหรูหรา (Luxury Niche)
.
ผู้ประกอบการส่วนใหญ่ ยังยึดติดคิดว่า ของยิ่งถูกลูกค้ายิ่งชอบ ยิ่งต้องการ แนวความคิดแบบนี้ จึงทำให้เกิดสงครามราคาขึ้น แต่แท้จริงแล้ว ผู้มีรายได้สูงหรือกลุ่มคนร่ำรวยไม่ได้อยากได้ของถูก คนเหล่านี้มักมีแนวคิดว่าของยิ่งแพงยิ่งดี เพื่อให้สมเกียรติสมฐานะตนเอง กลยุทธ์นี้จึงเกิดขึ้น
.
นั่นคือ เจาะกลุ่มลูกค้าไฮโซ ที่มีกำลังซื้อแบบไม่คิดมาก แต่ไม่ง่ายเช่นกันที่จะให้เค้าเลือกซื้อสินค้าโนเนม ใช่เลยถ้าคุณเล่นตลาด Mass ยังไงก็ไม่มีทางที่คนกลุ่มนี้จะเห็นหัวสินค้าคุณ
.
แต่ที่ผมบอกคือให้เล่นตลาดNiche หรือสินค้าบริการโดยเฉพาะที่ตอบสนองไลฟ์สไตล์เค้าได้ เช่น เปิดคาเฟ่ทำเป็นแหล่งชุมนุมแห่งรถสปอร์ต หรือกลุ่มบิ๊กไบค์โดยเฉพาะ ซึ่งธีมต้องชัดเจน ยังไงก็ไม่พลาด แต่ถ้าคุณขายแค่บรรยากาศคุณเตรียมเจ๊ง เพราะคุณต้องรู้ Customer Insight ให้ได้ว่าลึกๆแล้วกลุ่มพวกนี้ล้วนอยากมีคอนเนคชั่น อยากสร้างเครือข่ายเพื่อต่อยอด ฉะนั้นต้องชูเรื่องคอนเนคชั่น มีการจัดแต่งและกิจกรรมประจำสัปดาห์ให้พวกลูกค้ากลุ่มนี้มารวมกัน เพื่อแลกเปลี่ยนและสร้างคอนเนคชั่นซึ่งกันและกัน ต้องมีกิจกรรมเชื่อมกันและกัน แล้วคุณจะสำเร็จได้แน่นอน หรือ มีบริการนวดฝ่าเท้าถึงบ้าน มีบริการแต่งหน้าทำผมถึงบ้าน หรือสร้างสินค้าเฉพาะที่กลุ่มรายได้สูงสนใจ เช่นพรีออเดอร์นำเข้าเฟรม และอุปกรณ์จักรยานราคาหลายแสน เป็นต้น
.
.
และนี่คือ 4 กลยุทธ์หาช่องว่างเพื่อสร้างธุรกิจ ผมเชื่อว่าคุณได้ไอเดียแน่นอน และหากได้ไอเดียแล้ว อย่าปล่อยให้มันเป็นแค่ไอเดีย
.
เริ่มนับหนึ่งลุย!!! เดินหน้า ยุคนี้ ไม่ใช่ยุคปลาใหญ่กินปลาเล็กแล้ว แต่ ยุคนี้คือ ปลาไวกินปลาช้า ต่างหาก หากคุณอยากเป็นผู้ล่า ต้อง “ทำทันที”