Blog

พ่อสอนลูก (ตอนที่2) เดินตามรอยเท้าพ่อหลวง

พ่อสอนลูก (ตอนที่2) เดินตามรอยเท้าพ่อหลวง

.

ตอน >> ต้องสอนลูกให้หาปลา<<

.

ณ ห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่ง

.

แม่ : คุณคะ เดี๋ยวเราแวะไปร้านเกมส์ ซื้อเกมส์ให้ลูกหน่อยนะ ลูกขอมา

.

พ่อ : อ้าว แล้วเกมส์อันเดิมละ ก็ยังดีอยู่

.

แม่ : ลูกบอกว่ามันตกรุ่นไปแล้ว อยากได้ตัวใหม่

.

พ่อ : คุณเคยบอกกับผมว่าคุณ จะเดินตามรอยเท้าพ่อหลวงใช่ไหม คุณลืมรึเปล่า

.

แม่ : ใช่ค่ะ แต่เกี่ยวอะไรคะ

.

พ่อ : แล้วตอนนี้ คุณเลี้ยงลูกแบบนี้ คุณคิดว่าคุณกำลังเดินตามรอยเท้าพ่อ หรือนักการเมือง

.

แม่ : คืออะไรคะ งง

.

พ่อ : ผมจะเล่าอะไรให้คุณฟังนะ คุณรู้ไหม ในหลวงท่านทรงงานอย่างหนักมาโดยตลอด เพราะอะไร

.

แม่ : เพราะท่านอยากให้เราอยู่ดีกินดีไงคะ

.

พ่อ : ใช่ถูกต้อง ท่านเสด็จไปแต่ละสถานที่กันดารต่างๆ คุณรู้ไหมว่าท่านไปทำอะไร

.

แม่ : ท่านไปช่วยผู้คนไง ไปช่วยแจกของแจกอาหารให้คนสุขสบาย

.

พ่อ : ไม่ใช่!! ท่านไปเพื่อสอนการสร้างอาชีพให้ประชาชนต่างหาก เพราะการแจกของไม่กี่วันก็หมด แต่การสร้างอาชีพ สามารถเลี้ยงดูตัวเองได้ตลอดไป เป้าหมายของท่านคือประชาชนต้องยืนได้ด้วยลำแข้งตัวเอง โดยไม่ต้องพึ่งพาใคร เพราะนี่คือการพัฒนาอย่างยั่งยืน แล้วที่ท่านเลือกไปแต่ที่ลำบากเพราะ ท่านรู้ว่าประชาชนเหล่านั้นถูกตัดขาด เกรงประชาชนไม่มีความรู้ทำกิน คุณรู้ไหมท่านวางรากฐานเรื่องการสร้างอาชีพสร้างที่ทำกินมากี่สิบปี เพราะท่านทรงบอกมาตลอดว่า การวางรากฐานต้องสร้างตั้งแต่ราก ถ้ารากแข็งแรงลำต้นก็จะยั่งยืน และรากและลำต้นหมายถึงอะไรคุณรู้ไหม

.

แม่ : รากคือประชาชน ลำต้นคือประเทศรึป่าว?

.

พ่อ : ใช่ รากคือประชาชน ท่านเน้นพัฒนาที่ประชาชนเป็นหลัก เพราะหากประชาชนแข็งแรงมีอยู่มีกิน ทุกอย่างก็จะพัฒนาตาม นี่คือนโยบายที่สอดคล้องกับ ไทยแลนด์ 4.0 ในปัจจุบัน เลยนะ คือต้องช่วยกันสร้างประเทศจากการพัฒนามนุษย์ ซึ่งท่านทรงทำมาก่อนแล้วหลายสิบปี และนี่คือ พระราชดำรัสท่านเมื่อ40กว่าปีก่อน

.

“ การพัฒนาประเทศจำเป็นต้องทำตามลำดับขั้น ต้องสร้างพื้นฐานคือ ความพอมี พอกิน พอใช้ของประชาชนส่วนใหญ่เบื้องต้นก่อน เมื่อได้พื้นฐานความมั่นคงพร้อมพอสมควร และปฏิบัติได้แล้ว จึงค่อยสร้างค่อยเสริมความเจริญ และฐานะทางเศรษฐกิจขั้นที่สูงขึ้นโดยลำดับต่อไป…” (๑๘ กรกฎาคม ๒๕๑๗)

.

แม่ : พึ่งรู้เลยค่ะ ท่านมีวิสัยทัศน์กว้างไกลมากจริงๆ

.

พ่อ : ใช่ท่านทรงพระปรีชามากๆ แต่!! ผมจะเล่าเรื่องเศร้าอะไรให้ฟังนะ ขณะที่ท่านทรงงานด้วยนโยบายพัฒนาคน แต่รัฐบาลในยุคนั้นกลับดำเนินนโยบายด้วยการขับเคลื่อนเศรษฐกิจด้วยความเจริญทางวัตถุ จนทำให้เกิดวิกฤติต้มยำกุ้ง ฟองสบู่แตก จนประเทศต้องเป็นหนี้มหาศาล ซึ่งก่อนเกิดเหตุการณ์ 4ปี ท่านออกมาเตือนครั้งที่1 ด้วยพระราชดำรัสดังนี้

.

“ตามปกติคนเราชอบดูสถานการณ์ในทางดี ที่เขาเรียกว่าเล็งผลเลิศ ก็เห็นว่าประเทศไทย เรานี่ก้าวหน้าดี การเงินการอุตสาหกรรมการค้าดี มีกำไร อีกทางหนึ่งก็ต้องบอกว่าเรากำลังเสื่อมลงไปส่วนใหญ่ ทฤษฎีว่า ถ้ามีเงินเท่านั้นๆ มีการกู้เท่านั้นๆ หมายความว่าเศรษฐกิจก้าวหน้า แล้วก็ประเทศก็เจริญมีหวังว่าจะเป็นมหาอำนาจ ขอโทษเลยต้องเตือนเขาว่า จริงตัวเลขดี แต่ว่าถ้าเราไม่ระมัดระวังในความต้องการพื้นฐานของประชาชนนั้นไม่มีทาง…”

.

พระราชดำรัส

วันที่ ๔ ธันวาคม ๒๕๓๖ (ก่อน เกิดต้มยำกุ้ง 4 ปี)

.

จากพระราชดำรัสของท่านจะเห็นว่าสอดคล้องกับสถานการณ์ทั้งหมด เพราะรัฐบาลยุคนั้นประกาศนโยบายต้องการเป็นเสือของเอเชีย จึงต้องเร่ง สร้างความเจริญทางวัตถุ ช่วงนั้นมีการสร้างตึก คอนโดและสนามกอล์ฟมากมาย โครงการต่างๆผุดมามากมาย โดยทุกอย่างไม่ได้คำนึงเลยว่า สร้างมาประชาชนก็ไม่มีเงินซื้อ คือไม่มีความต้องการซื้อ (Demand) แต่ฝ่ายผู้ผลิตกับจับยัด ด้วยความต้องการขาย (Supply) นี่จึงเป็นการเตือนจากท่านครั้งที่1

.

จากนั้นท่านได้มีการเตือนครั้งที่2 ก่อนเกิด วิกฤตต้มยำกุ้ง 1ปี

“…การจะเป็นเสือนั้นไม่สำคัญ สำคัญอยู่ที่เรามีเศรษฐกิจแบบพอมีพอกิน แบบพอมีพอกินนั้น หมายความว่า อุ้มชูตัวเองได้ ให้มีพอเพียงกับตนเอง ณ ศาลาดุสิดาลัย วันที่ ๔ ธันวาคม ๒๕๓๙.

.

และในปีต่อมาประเทศไทยก็เกิดเศรษกิจฟองสบู่แตก วิกฤตต้มยำกุ้ง ขึ้นจริงๆ ทำให้เศรษฐกิจล้มระนาว ประเทศเป็นหนี้มหาศาล ตึกคอนโดต้องกลายเป็นตึกร้างมากมาย นักลงทุน และผู้ถือหุ้นฆ่าตัวตายกันมากมาย จากเศรษฐีสู่ยาจก ด้วยการล้มละลาย มาจากยุคนี้ทั้งสิ้น

.

แม่ : พึ่งรู้เลยค่ะ ท่านสร้างประเทศมาตั้งนานกลับต้องมาล้มเพราะนักการเมืองที่ไม่ยอมฟังคำเตือนของท่าน

.

พ่อ : แต่ที่น่าเจ็บปวดกว่านั้น ในขณะที่ประชาชนกำลังเดินตามคำสอนท่าน ด้วยการตั้งใจพัฒนาตัวเองทำมาหากินโดยไม่ได้พึ่งใคร สิ่งที่ท่านทำมาหลายสิบปีกับต้องล่มสลายลงไปเพราะนักการเมืองอีกครั้ง เพราะจากนั้น ก็เข้าสู่ยุคการแข่งขันด้วยนโยบายเลือกตั้ง โดยมีการออกนโยบายประชานิยมมาแข่งขันกัน เพื่อเข้าสู่อำนาจ ทั้งที่เงินเหล่านั้นไม่ใช่เงินของใครเลยแต่มันคือเงินภาษีของประชาชนล้วนๆ หากเราได้เป็นรัฐบาลเราจะช่วยอย่างนั้นอย่างนี้ สร้างฝันวิมานในอากาศ เพียงเพื่อต้องการสู่ตำแหน่ง ช่วงนั้นมีนโยบายให้เงินกู้ ปลูกฝังค่านิยมใหม่ว่ายิ่งกู้ยิ่งรวย สุดท้ายประชาชนน้อยคนนักที่กู้เอาไปต่อยอดธุรกิจ แต่กลับกู้ไปซื้อของฟุ่มเฟือยกันเสียส่วนใหญ่ สิ่งที่ท่านวางรากฐานการสอนให้คนหลุดพ้นจากหนี้สินของพ่อหลวงที่ทรงทำมาหลายสิบปีจบสิ้นลง ด้วยค่านิยมใหม่เข้ามาแทน และที่สำคัญการสอนให้คนยืนด้วยลำแข้งตัวเองก็ล่มสลายลง เพราะคนติดค่านิยมใหม่ คือรอความช่วยเหลือจากนโยบายที่มีแต่ให้จากรัฐบาลแทน

.

แม่ : จุกอกเลยค่ะ สงสารท่านมากๆทำเพื่อประชาชนมาตลอดพระชนชีพ แต่สิ่งเหล่านั้นกลับต้องหยุดชะงักลงไป

.

พ่อ : เราถึงต้องมาช่วยกันไง เราต้องนำคำสอนของท่านมาใช้ เพื่อให้คำสอนของท่านคงอยู่ตลอดไป เพราะไม่มีใครที่รักประชาชนจากหัวใจอย่างแท้จริงเท่ากับท่านอีกแล้ว จะมีใครที่หวังดีกับประชาชนอย่างสุดหัวใจ ใครที่ให้โดยไม่หวังผลตอบแทน ใครที่ทรงยอมลำบากพระวรกายทุกอย่างเพื่อให้ประชาชนอยู่ดีกินดีอย่างยั่งยืน ด้วยการยืนได้ด้วยตนเอง คุณเข้าใจยังว่าทำไมผมถึงรักในหลวงมากๆ รักแบบที่ไม่ใช่รักเพราะเพียงแค่คนบอกว่าต้องรัก เพราะผมรู้ไงว่าท่านรักประชาชนและจริงใจกับพวกเราแค่ไหน

.

แม่ : ……

.

พ่อ : คุณเข้าใจผมยังว่า ทำไมผมต้องเตือนคุณเรื่องการเลี้ยงลูก

.

แม่ : เข้าใจแล้วค่ะ ฉันกำลังปลูกค่านิยมทางวัตถุให้ลูกแบบผิดๆ ฉันไม่ควรตามใจลูกโดยที่ไม่สอนให้เค้าพึ่งพาตัวเอง ฉันกำลังทำให้ลูกติดนิสัยของประชาชนที่รอปลาจากนักการเมือง แต่ฉันกลับไม่สอนให้เค้าหัดหาปลาด้วยตนเอง ด้วยคำสอนจากพระราชา ฉันทำนิสัยเหมือนนักการเมืองจริงๆ ขอโทษๆๆ ปากบอกว่าจะเดินตามรอยเท้าพ่อแต่ฉันกลับไม่ได้รู้แก่นคำสอนของท่านเลย พ่อหลวงอภัยให้หนูด้วยนะคะ หนูผิดไปแล้ว ตอนนี้หนูเข้าใจแล้วจริงๆ

.

พ่อ : ผมดีใจนะ ที่คุณคิดได้ นี่ละสิ่งที่เรียกว่า “นักการเมืองยื่นปลา พระราชายื่นเบ็ด” ให้ปลากินไม่กี่วันก็หมดไป แต่ยื่นเบ็ดสามารถทำให้เค้าหาปลาได้ตลอดไป สิ่งนี่จะเป็นภูมิคุ้มกันให้ลูกของเรานะ เราต้องให้เค้ารู้จักรับผิดชอบในส่วนที่เค้าต้องการบ้าง ต้องสอนให้เค้าหัดช่วยเหลือตัวเอง ด้วยการสอนให้เค้าหัดออม เพราะนี่ละจะทำให้เค้าเติบโตอย่างยั่งยืน และฝึกให้เค้าเป็นคนหมั่นเพียร อดทนรอ ไม่ใจร้อน เข้าใจผมแล้วนะ

.

แม่ : เข้าใจอย่างดีเลยค่ะ ฉันจะปรับปรุงตัวค่ะ จะน้อมนำคำสอนพ่อหลวงมาใช้อย่างแท้จริง ไม่ใช่แค่ลมปากอีกต่อไป

.

พ่อ : ไว้กลับไปผมจะไปสอนลูกเองนะ ผมจะทำให้เค้าเข้าใจให้ได้ ว่าทำไมต้องยืนได้ด้วยตนเอง

.

.

>>จบตอนที่2<<

.

รอติดตามตอนต่อไป

.

อย่าลืมช่วยกันแชร์นะครับ

.

เราต้องมาช่วยกันให้คำสอนพ่อหลวงอยู่คู่ไทยไปตลอดกาล